top of page

ตอนที่สอง เสียงเศร้าโศกจากแม่น้ำ

 

 

          ยามสายของวันนี้ การครุ่นคิดของผมยิ่งหนักหน่วงขึ้น ความกระวนกระวายใจใคร่รู้เล่นงานจนนั่งไม่ติด อีกสองวันที่ยังต้องรอตามสัญญาไว้ แต่มันจะฉุดรั้งไม่อยู่เสียแล้ว อย่างน้อยต้องไม่ติดแง่กอยู่ในบ้านตัวเองแบบนี้ ราวกับว่าถูกปิดหูกลั้นฉากบังสายตากันเลยทีเดียวเทียว หนังสือและทฤษฏีต่างๆที่ตั้งไว้สำหรับคดีนี้พร้อมแล้ว เมื่อถูกจับตาดูอยู่แบบนี้ ยากยิ่งจะออกไปไหนในแบบเดิมซ้ำๆอีก ผู้หญิงไม่ได้ ผู้ชายก็ออกจากบ้านหลังนี้ตรงๆไม่ได้ ออกไปแบบตัวเองดีที่สุดแล้ว มันจะดูแปลกเกินไปสำหรับหนุ่มโสดที่เก็บตัวอยู่ในบ้านสะเหลือเกิน

            คิดการเสร็จ ผมก็แต่งตัวเตรียมพร้อมในชุดลำลองดูสบายออกนอกบ้าน หมวก เชิตเสื้อกั๊ก และหยิบโค้ทมาถือไว้มุ่งหน้าสู่ออกไป เป้าหมายของวันนี้ไม่ใช่การหาตัวผู้เกี่ยวข้องของคดีนี้ แต่ดูท่าทีของตำรวจในแถบย่านที่เกิดคดีนี้ ลอนดอน อ็อกซ์ฟอร์ด รีดดิ้ง และ วินด์เซอร์ ล้วนแต่เป็นเมืองที่แม่น้ำไหลผ่าน เทมส์เป็นแม่น้ำขนาดใหญ่เปรียบเหมือนเส้นเลือดของเรา มันต้องมีสาเหตุที่เลือกแม่น้ำสายนี้ แล้วทำไมไม่โชว์ความยิ่งใหญ่กลางแม่น้ำสายหลัก แต่กับเลือกสายย่อยออกไปทีละจุด

            การบดบังคดีท่าจะดูง่ายเกินไป เพราะถ้าลากเส้นหนองน้ำย่อยเหล่านั้นสายหลักก็มาจากต้นน้ำเทมส์สายใหญ่อยู่ดี อาจจะมีอยู่บางที่เท่านั้น ที่เกิดจากเสาะตัวของน้ำเกิดขึ้นเป็นหนอง อาจจะทำให้ดูไม่ออก ตำรวจตามคดีนี้ลึกไปถึงไหนแล้ว จะรู้ได้ต้องมีตัวช่วย

            ใช่ว่าผมจะเลือกสารวัตรใหญ่ลูกของเพื่อนเกลอ ผมพึงใจเลือกนายสิบตำรวจก็เพียงพอแล้ว เมสัน เบเกอร์ชายผู้มีใบหน้าเรียวเล็กคล้ายหนู ฟันแหลมออกมาสองซี่เพื่อแทะข้าวโพดฝักงาม ตาเล็กหน้ามีกระคนนั้นแหละ ผุดเข้ามาในสมอง เขาตรวจพื้นที่อยู่เขตไวท์ชาเปลรอบนอกของนครลอนดอน ผมต้องใช้เวลาเดินทางกว่าวันข้ามจากฝั่งนี้อ้อมไปอีกฝั่ง ผมผูกมิตรกับเขาอยู่หลายครั้งจากคดีต่างๆเราจึงคุ้นเคยกันอย่างดี

            ไวท์ชาเปลมีคดีเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ใช่คดีที่ซับซ้อน ผมรับรู้ข่าวเพียงเท่านั้นบางครั้งไม่ต้องเดินทางไป หลายครั้งที่เกิดคดีสะเทือนใหญ่จนกินไม่ได้ตามไปด้วยก็บ่อย ตัวอย่างคดีข่มขืนโสเภณี แน่นอนว่าผมไม่ยอมเป็นโสเภณีในย่านนั้น เพราะอาจจะไม่โดนข่มขืน เอาเป็นว่าเราจบเรื่องนี้กันดีกว่า

            ผมส่งโทรเลขไปหาเมสันไว้ก่อนที่จะขึ้นรถม้า ครั้งนี้เราต้องใช้รถม้าของคนคุ้นเคย คาร์กชายสูงวัยคนสนิทของพี่ชายผมรออยู่แล้ว หลังจากบอกกล่าวว่าผมมีงานสำคัญเขาก็เสนอตัวเข้ามาด้วยความยินดี เราก็เริ่มออกเดินทางไปยังเป้าหมาย

            ผมอยากให้การไปครั้งนี้ของผมมีพยานรับรู้ เพื่อเปลี่ยนความคิดของผู้ติดตามราวกับว่าผมไม่สนใจคดีนี้แม้แต่น้อย ผมจึงโบกมือทักทายเพื่อนบ้านด้วยอาการเปรมปรีดิ์ ออกนอกหน้าอย่างล้นเหลือ ราวกับออกไปเที่ยวเตร่รอบนคร ซึ่งผมก็เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว ถ้าไม่นับการทำงานรวมเข้าไปด้วย

            “คาร์ก”

            “ขอรับ นายน้อย”

            “ให้ผมไปขับรถม้านี่เองเถิด นั่งนานไป”

            “ไม่ได้ขอรับ”

            ผมจบบทสนทนาเพียงเท่านั้น ชายสูงวัยก็หันหน้าหนีมุ่งหน้าขับรถม้าให้ชายหนุ่มนั่งต่อไป ความไม่เท่าเทียมนี่ชั่งหน้าเบื่อหน่าย และกวนใจผมอยู่ตลอด เขาคิดว่าทุกอย่างคือหน้าที่ของเขา โดนที่แยกความเป็นเพื่อนของเราออกจากกันมาโดนตลอด เมื่อผมเป็นบุตรบุญธรรมของพ่อ เขาก็ดูแลผมอย่างดีตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้เราก็เหมือนญาติมิตร แต่ความคิดของเขากลับต่างกัน เขามองเราเป็นอย่างวันแรกจนถึงวันนี้ คาร์กเป็นคนดีและมั่งคงเกินไปสำหรับผม

            วิวทิวทัศน์ของรอบนครด้านนอก เปลี่ยนไปตามเขตต่างๆที่รถม้าแล่นผ่าน ผมเคยชินกันมันอย่างดีแล้ว วันนี้ผมจึงมองมันอีกแบบ ผมไม่รู้ว่าคาร์กรับรู้หรือป่าวว่ามีรถม้าอีกคันตามเรามาซักระยะแล้ว นั่นเป็นการจงใจตามผมออกมารอบนครแน่ๆ เพราะผมเปิดหน้าคร่าตาตัวเองไร้ม่านปิดบังอยู่ในรถม้า ซ้ำยังเหลียวมองไปมารอบๆอวดให้รู้ว่าผมกำลังออกมาด้วยซ้ำ

            เวลาหมุนผ่านไปช่วงใหญ่ จากบ่ายล่วงเลยพบค่ำ รถม้าคันนั้นก็ตามเราอยู่ไม่ใกล้และไม่ห่าง แต่อีกไม่นานเราก็จะถึงเขตเป้าหมายแล้ว เมสันคงรอผมอยู่ เราจะได้รู้กันว่าคนที่ตามเราอยู่คือใคร เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมกำลังตามหาอยู่หรือไม่ ผ่านเข้าเขตไวท์ชาเปล แถบสังสรรค์ช่วงดึกของสก็อตแลนด์ยาร์ด หน้าร้านเหล้าเล็กๆที่มุงหน้าร้านด้วยล้านหญ้าที่ผมมาประจำมีชายผมน้ำตาลแดงตัวผมสูงโหย่งเหย่งเหมือนเสาไฟยืนอยู่ เมสันนั่นเอง

            “คาร์ก จอดตรงนี้แหละ นายไปที่พักเดิมที่ผมเคยมาครั้งก่อนนะ”

            “ขอรับนายน้อย”

            ผมเดินเข้าไปหาเมสันอย่างคนคุ้นเคย เขายืนยิ้มโบกไม้โบกมือทักทาย

            “ไงเมสัน นายดูดีขึ้นมากนะ”

            “นายพูดจาน่าประทับกับฉันแบบนี้เสมอยอล คิดถึงนายทุกครั้งที่มาร้านนี้”

            “เข้าไปข้างในกันเถิด ค่ำวันนี้ฉันยกให้นายยาวต่อไปจนถึงเช้า ฉันออกเอง”

            “นายดีกับฉันเสมอเพื่อนรัก”

            เขากอดคอผมเข้าไปในร้านหน้าตาเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา ผมบีบไหล่เขาเบาๆ เมสันเป็นคนที่มีความละเอียดอ่อนมากสะจนบางครั้งชั่งน่ากลั่นแกล้ง สก็อตแลนด์ยาร์ดพวกนั้นจึงชอบแกล้งให้เขาเป็นคนรั้งท้าย หรือบ๊วยนั่นแหละ แต่ผมไม่คิดแบบนั้น เมสันรู้อะไรเยอะกว่าคนอื่น และซื่อสัตย์ต่อการให้คำปรึกษา เราจึงเป็นเพื่อนกันเสมอมา

            “มีเรื่องให้นายช่วยเล่าให้ฟัง เพื่อนเอย...” เมื่อเรานั่งด้านในสุดเราก็ปลอดภัยจากคนในเขตนี้ เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับสก็อตแลนด์ยาร์ด

            “อยากรู้เรื่องอะไรที่ฉันช่วยนายได้ พูดมาได้เลย” เขาตบอกด้วยความยินดี

            ผมบอกไปหรือยังว่าความจริงแล้วเมสันนั้นอายุมากกว่าผมราว 1 รอบพอดี

            “คดีตำรวจถ่วงน้ำแถบชานเมือง”

            “ชู่...” เขาแตะมือที่ปากแล้วโน้มหน้าเข้ามาใกล้ผม “คดีนี้เป็นความลับหนักหนาเพื่อนเอย ...แต่ฉันจะบอกนาย ตอนนี้ราวๆ 8 ศพแล้ว มีคำเตือนขู่มาในบางครั้งแต่เรื่องนี้กับถูกปิดเงียบสะเหลือเกิน คนในปกปิดคนในด้วยกันเอง ฉันตามข่าวชันสูตรร่างของเหยื่อ ฉันถึงกับไปดูด้วยตาตัวเองเลย...” เขายิ้มอย่างภูมิใจ “ไม่มีร่อยรอยใดๆติดตัวของศพแม้แต่น้อย นอกจากรอยเดียวคือข้อเท้าขวา ซึ่งทุกศพมีเหมือนกัน ฉันตรวจข้อมูลดูแล้ว มันเป็นรอยยาวขนาดเล็กแค่เชื่อเส้นเดียว บาดลึกเสมอกัน มันไม่ใช่วิธีของการถ่วงน้ำ อย่างนี้แล้วศพจมลงไปได้อย่างไร” เขาปากสั่น

            “เมสัน ฉันต้องการข้อมูลมากกว่านี้ แต่นายต้องไม่ไปเสี่ยงอันตราย” ผมกุมมือเขาไว้ “นายไปตรวจเอกสารเกี่ยวกับสำนวนคดีลูกเมียของหมอในเมืองต่างๆที่เสียชีวิตในรายชื่อเมืองที่ฉันกำลังจะส่งให้นี้ พร้อมกับสาเหตุมาให้ฉันหน่อยได้ไหม”

            “ด้วยความยินดี”

            มันเป็นอีกงานที่ผมต้องตรวจเอง แต่ผมจงใจให้เขาหนีจากคดีนี้ เขาจะหาข้อมูลให้ผมอย่างละเอียดเหมือนกับที่ผมหาเอง อันตรายจะมุ่งสู่ตัวเขาทันทีถ้าพวกนั้นจ้องคนตามคดีนี้อยู่ ผมต้องปกป้องเพื่อนไว้

            “ต่อจากนี้นายจะไม่มีเวลามายุ่งกับคดีนี้อีกแล้ว นายต้องตรวจหาข้อมูลที่ฉันขออย่างละเอียดเรื่องอื่นไว้ให้ฉันจัดการกับทุกอย่างเอง วางใจเถิด”

            “นายพูดแบบนี้ฉันก็ไม่กังวลกับมันอีกแล้ว”

            เมสันดื่มเหล้าไปอึกใหญ่ กระดกเข้าไปอีกไม่ยั้ง ส่วนผมดื่มเลี่ยงๆ อาจเกิดอะไรขึ้นได้รอบตัวจากคนที่ตามผมมา คนในรถม้านั้นไม่ได้ตามเข้ามาในร้านนี้ ดังนั้นผมคิดว่าเขารอให้ผมออกไปเสียเอง

            ครู่ใหญ่เลยพ้นผ่าน...

            “มาเถิด มาเถิด...มาเถิ๊ดดด เพื่อนเอยย เพื่อนรักของข้ามาทักทาย ปั๊บบบ ปา ปั๊บบบดา ...ข้านั้นยินดี ยินดี จริงเอยยย...” เมสันเริ่มเคาะโต๊ะฮำเพลงสดกับดนตรีพื้นเมืองสะแล้ว

            “ปั๊บบบ ป่า...ดา..ห์ เพื่อยเอยย...ลั้ลลลล่าลลั้นนล้า” มีหรือว่าผมจะไม่ร่วมวงสังสรรค์นั้น ผมแหกปากตะโกนก้องกอดคอกันกับเขา ราวกับว่าร้านนี้เป็นของเรา ยกดื่มแบบสุดซอยกระดกเหล้าเข้าปาก เป็นไงเป็นกันแล้วตอนนี้

            ...แต่ก ...แต่ก...ต๊อก...แต่ก..แต่ก...เราเริ่มต้นเต้นแท็ปจังหวะพื้นเมืองวนไปรอบๆร้าน คนในร้านมากอดคอเราหมดเป็นวงกลม ...แต่ก...ต๊อก...แป่ก แต่ก แต่ก แป่ก...

            “มาเถิด...มาเถิดเพื่อนข้าเอยย พบปะยินดีปรีดา ปรีดา ...ลลั้ลลล ลั้ลลล ลา ลั้ลล ลา...ลั้ลล มาเถิด..มาๆ”

            เหล้ารำราดตัวผมเปียกชุ่มไปหมด แต่เราทุกคนก็กอดคออ้าปากรับมันที่โดนรินจากหล่อนคนหนึ่งที่เทมันจากบนโต๊ะสูง แย่งกันราวกับลูกสุนัขตัวน้อยๆแย่งน้ำข้าวกันอย่างขาดแคลน ผมสนุกกับการสังสรรค์แบบนี้เสมอ เมสันซึ่งตอนนี้ไร้สติจะบังคับอารมณ์ภายนอกเสียแล้ว

            “อ่า.. ห์...” แรงหอบอย่างเหนื่อยล้าเมื่อเราทุกคนล้มตัวลงกึ่งนอนกับพื้นพิงเก้าอี้ของร้านพยุงตัวไว้ เมสันนั้นล้มตัวมาพิงที่ไหล่ของผม กับใครซักคนที่เราเพิ่งเต้นด้วยกัน การเกยพาดกันเป็นกลุ่มใหญ่เรียงรายกันเกลื่อนร้าน แม้แต่เจ้าของร้านก็นอนอยู่ปลายเท้าของผม

            “นายเป็นคนตะวันออกหรือ”

            “ใช่แล้ว”

            “นายชั่งน่าคบหานะพ่อหนุ่ม”

            ชายวัยกลางคนที่พิงไหล่ผมอยู่ลุกขึ้นมามองหน้า ผมยิ้มแย้มหาเขาด้วยความยินดี เขาดูอิดโรยใบหน้ามีแดดไหม้ ถ้าให้เดาอาชีพเขาเป็นกรรกรแบกหาม ผมไม่สนหรอกเราเพิ่งดื่มด้วยกัน ความสุขภิรมย์ของผมไม่ใช่การได้ดื่มในสังคมชั้นสูงอยู่แล้ว อาหารรสเลิศก็หาจำเป็นไม่ เพียงแค่เหล้าราคาถูกซักขวดกับเพื่อนรู้ใจเพียงเท่านี้

            “พวกมีเงินชอบดูถูกคนแบบพวกเรา เขาคิดว่าเราใช้เป็นแต่แรงงาน”

            “เราไม่ใช้แรงงานในการพูดดอกสหาย เราใช้มันด้วยใจและสมอง” มือผมวางไปทาบผ่านหัวใจของชายข้างกาย เมสันเริ่มไหลลงไปกอดขาผมไว้แทนแขนสะแล้วตอนนี้

            “พ่อหนุ่มเอย ฉันไม่มีค่าอันใดมานานแล้ว ฉันเป็นคนมีฝีมือมากหนักหนา ถ้านายได้เห็น ฉันก่อสร้างเขตนครเรื่อยมาแล้วจึงกลับมาบ้านฉันแห่งนี้”

            “ที่นี่น่าอยู่ ไม่ต่างจากข้างในหรอกสหาย ผมมาบ่อยครั้งเพื่อดื่มด่ำบรรยากาศกับเพื่อนรัก” ผมมองไปที่เมสัน เขาดูรักใคร่ขาผมและหวงแหนเกินจะปล่อยออกแล้ว

            “ถ้านายมีอะไรให้ฉันช่วย ฉันยินดีฉันสร้างบ้านหลังงามให้นายได้ ถ้านายมีเงินซื้ออุปกรเหล้านั้น ฉันต้องการแค่อาหารก็เพียงพอ”

            “ถ้านายมีฝีมืออย่างว่า ไปหาผมได้” ผมยื่นที่อยู่เปียกๆออกจากกระเป๋าในอกเสื้อให้เขาไป    “คนนี้คือพี่ชายของผมเอง เขารับคนงานมีฝีมือและเลี้ยงดูอย่างดีเสมอ”

            “น้ำใจนี้ จะไม่ลืมบุญคุณเลยขอรับนายน้อย...” เขาจับมือผมไปลูบหัวเขาน้ำตาใสไหลออกราดสองแก้ม ผมเช็ดมันแล้วยิ้มให้

            “ไม่ใช่บุญคุณหรอกครับ อย่าเรียกแบบนั้นเลย เรียกสหายเถิด” ผมเว้นวรรคพูด เมื่อเขามองหน้า ผมชักมือกลับมา “ถ้านายมีฝีมือ...”

            “แน่นอนสหาย ฉันจักทำให้นายภูมิใจ”

            “ฮ่าๆๆๆ ผมจะคอยมองด้วยความยินดี”

            เขาเก็บที่อยู่ของพี่ชายผมที่ให้เขาไปอย่างหวงแหน ผมก็หวังว่ามันจะไม่หายไปไหน งานนี้จะช่วยเขาได้ ถึงงานของผมจะไม่ใช่งานที่ไว้ใจคนอื่น แต่งานผมก็สอนให้ผูกมิตรกับคนทุกประเภทไว้ แม้กระทั่งคนนั้นเป็นโจรร้ายก็ตามถ้าเรามีเหตุผลที่คบกันได้ ชายผู้นี้เพียงแค่คนลำบาก ที่ผมหยิบยื่นโอกาสให้ได้ ผมก็ยินดี

            ความอ่อนเพลียเหนื่อยล้าจากการสังสรรค์อย่างดุเดือดเมื่อครู่หายไปแล้ว เมสันยังหมอบคานกอดขาผมแน่น ผมจับแขนเขาออกแล้วประครองตัวขึ้น คนในร้านเริ่มลุกขึ้นพยุงช่วยเหลือกันละกัน บางคนแยกกลับบ้านของตนแล้ว ชายที่อยู่ข้างๆผมพยุงเมสันจากแขนผมขึ้นมา

            “เดี๋ยวเอาไปโยนไว้หน้าที่พักของเขาให้ ผมผ่านทางนั้นพอดี”

            “ฝากด้วยแล้วกันนะ ผมต้องไปต่อแล้ว”

            “วางใจได้เลยสหาย”

            “ครับ”

            เขาลากตัวเมสันออกไป ท่าทางคืนนี้เป็นคืนที่หนักห่วงของสหายเก่าของผม ชายที่ลากเขาไว้คงทิ้งไว้กับหมาตัวใหญ่หน้าบ้าน ยังไงก็เอาไว้ก่อนเถิด ผมต้องออกไปเยี่ยมเยือนคนที่ตามผมมาเสียก่อน เขาตามผมเพียงเท่านั้น แน่นอนว่าเราน่าจะมีบทสนทนาต่อกันหรือไม่ ผมอาจจะได้เรียนรู้ความคล่องตัวเพิ่มขึ้นจากบุคคลนี้

 

 

 

ตรอกตรงข้ามร้านเหล้าในเขตไวท์ชาเปล มีซอยเล็กๆขวางเป็นจัตุรัสตัดข้ามกันสามเส้นแบ่งตามระยะขวางลาดยาวตลอดสายตาทุกเส้นมีมุมตึกบดบังทิวทัศน์ของการมองไว้ รถม้าจอดอยู่ตรงหัวมุมเส้นที่สองของถนน สังเกตจากตรงที่ผมยืนอยู่ คนขับรถม้าลงมานั่งข้างๆตัวรถสูบบุหรี่พ่นควันลอยขึ้น แล้วบุคคลภายในรถเล่า เหตุจำเป็นอะไรต้องตามติดผมมา

            เมื่อย่านกายเข้ามาใกล้ขนาดนี้บุคคลภายในรถม้าก็ปกปิดตัวเงียบเช่นเดิม ต่างกับชายคนขับรถที่กำลังเดินมาหาผม ท่าเดินขวางโลกดูเอาเรื่องเลยทีเดียวใบหน้าและกามใหญ่แบนเหมือนเคี้ยวเอื้องปากตลอดเวลา เมื่อเราเดินเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ผมเห็นว่าฟันหน้าด้านข้างหายไปสองถึงสามซี่เมื่ออ้าปากขมิบก้นบุหรี่อย่างรนราน และไม่กี่ก้าวที่เรากำลังจะทักทาย กลิ่นตัวของเขาคุ้งไปด้วยกลิ่นเอกสารและยาสูบชนิดเส้น ถึงจะขับรถม้ามาเป็นเวลาข้ามวันรองเท้าเขาก็ยังคงสภาพที่พอมองออกว่าไม่ได้มาจากแหล่งที่มีดินโสโครกหรือดินแดงติด เขามาจากที่ใกล้เคียงกับผม เสื้อผ้าก็ทั่วไปตามที่คนในเมืองใส่กันแต่ก็สะอาดสะอ้านตา

            20 ก้าวที่ผมจะถึงรถม้าชายผู้นั้นเดินเข้ามา ท่าทางถมึงทึงขึงขลังกระชับเสื้อคลุมพุงอ้วนๆก้าวจ้ำอ้าวมาหยุดตรงหน้า ผมหยุดเดินแล้วเก็บมีดเข้าเสื้อคลุม

            “นายรออยู่ครับ! เชิญครับคุณนักสืบ” เสียงเหมือนเป็ดแหบแห้งเป่าลมเสียงเป่าต่างกับท่าทางราวกับตะโกนมันสุดกำลังแล้ว ตอนนี้ผมต้องเก็บความหรรษาของตัวเองกลั้นไว้ นิ่งราวกับไร้ความรู้สึกใส่ชายตรงหน้า

             “...”

            เมื่อเขาไม่ได้บอกว่าคนในรถคือใคร ผมก็ไม่ซักถามแล้วเข้ามาข้างในรถที่คลุมดำมืดมิตรตามแบบรถม้าในในนครที่ชอบทำ ทันทีที่ก้มหน้าค่อยๆยื่นกลิ่นน้ำหอมชั้นสูงจางๆกระทบจมูกผมก็รับรู้ว่าเขาคือใคร

 

          “ตามมาถึงที่นี่มีอะไรหรือป่าว” ผมนั่งข้างๆกับเขาแล้ว

          “เป็นห่วง”

          ผมหันไปมองหน้าเขา น้อยคนมากที่จะพูดกับผมแบบนี้ หรือแทบจะไม่มีเลย คนแบบไหนดอกเป็นห่วงผม เขามองหน้าผมเหมือนกันผมรู้ว่าคำพูดนี้จริงใจพอกันกับสายตาที่เขาส่งมา แต่เขาก็เหมือนจะอธิบายต่อ

          “ทำไมไม่ปลอมตัวก่อนออกมา ยังเปิดหน้าเปิดตาตั้งแต่ออกจากบ้าน เรากำลังทำคดีกันอยู่ไม่ใช่หรือ”

          “ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความปกติดดอก เชื่อเถอะว่าเอาตัวรอดได้”

          “ถ้าแน่ใจแบบนั้น...”

          อุก! ...ท่อนแขนยาวแนบรอบคอผม เขาล็อคมันกดลิ้นปี่ให้หน้าผมเงยขึ้นแท่งเหล็กบางเรียบแวววาวจ่อมาปลายคราง เขาเกลี่ยปลายเหมือนจะกรีดตามร่องลงมาซอกคอ ผมไม่ได้ขยับตัวหรือกลัวการกระทำนั่นดอก ผมรู้ว่าเขาเป็นมิตร แผ่นอกที่หลังของผมแนบกับเขานั้นมีลมหายใจอุ่นๆช่วงซอกคอที่เอาส่งไอรถมาแสดงความเดือนดานอย่างเห็นได้ชัด เขาเหมือนกำลังเกี้ยวโกรธ

          “วางมีดลงเถิด รับรู้แล้วเพื่อนเอ๋ยเราผิดเองที่ไม่ระวังตนกว่านี้”

          “ไม่คิดว่าตัวเองจะโดนฆ่าบ้างหรือ จากสหายที่คุณไปดื่มเหล้าด้วยในบาร์ คนที่เพิ่งรู้จักใหม่ หรือคนที่ติดตามคุณมาตลอดทางอีกไม่รู้กี่คนคุณนักสืบที่โด่งดัง”

          “แต่ไม่ใช่ลูกชายสหายรักของฉันคนนี้ดอก”

          ผมใช้นิ้วกดปลายมีดลงเขาดึงมันอกไปห่างเพื่อไม่ให้บาดเข้าเนื้อของผมอย่างที่คิด แขนของเขาค่อยๆคลายออกจากรอบคอ เหล้าที่เปียกชุ่มเสื้อผมเริ่มอึนแฉะหนักกว่าเดิมมันเริ่มซึมเข้าไปหาเสื้อของเขาจากการกระทำเมื่อครู่

 

 

          “ไม่เข้าไปดื่มด้วยกันเล่า”

          “คงไม่มาถึงนี้เพื่อการสังสรรค์อย่างเดียวหรอกไม่ใช่หรือ รออยู่แบบนี้จนแน่ใจว่านายจะตามมาสะดีกว่า”

          เขาเป็นคนประหลาดอย่างน่าประทับใจ...

          “พักที่ไหน”

          “ยังไม่ได้คิด”

          ...ขอความคิดเมื่อครู่คืน

          “โรงแรมตรงหัวมุมถ้าไม่รังเกียจคนของฉันรออยู่ที่นั่นแล้ว”

          “...เอลเว่น ไปที่โรงแรมหัวมุมถนนข้างหน้า” เขาชะโงกหน้าบอกคนขับรถม้า “ทำไมเลือกมาโดนรถม้า เห็นว่าบ้านคุณมีรถเครื่องก็หลายคัน”

          “แบบนี้สะดวกกว่า...เลิกเรียกแบบทางการเถอะคริส จักเพื่อนก็เพื่อน จักนับญาติในฐานะเพื่อนพ่อของนายก็ทำ”

          “เราจักเป็นเพื่อนกัน รุ่นพ่อก็คือพ่อไม่เกี่ยวกับลูกหรอก”

          “ยินดีสหาย เราอาจจะต้องเกี่ยวข้องกันอีกพักใหญ่”

          “ไปพักกันเถอะ พรุ่งนี้เราจะไปด๊อกทาวน์”

          “แต่เรานัดกันอีกสามวันหน้าไม่ใช่หรือ”

          “เมื่อเจอกันแล้วก็อยู่ด้วยกันเถอะ อีกสามวันเราค่อยทำตามกำหนดเดิมตอนนี้เราต้องวิ่งตามจดหมายขู่ไปด๊อกทาวน์ก่อน”

 

          “จดหมายขู่หรือ” ความใคร่รู้เริ่มทำงานจนล้มปรี่

          “ไปถึงที่พักจักเล่าให้ฟัง”

          กำหนดการเดินทางของผมเลื่อนกะทันหันเพราะเขาตามผมมาเพื่อบอกคดี ถ้าด๊อกดาวน์เกิดเหตุขึ้นมาอีกก็ศพที่ 9 แล้วการปกปิดของสก๊อตแลนยาร์ดคงทำต่อไปอีกไม่ได้ ผู้คนทั่วไปเริ่มใคร่รู้เรื่องราวซักพักเดียวความคงแตกหมดแน่ ก่อนอื่นผมต้องได้รายชื่อคนตายและผลการชันสูตรศพทั้งหมดก่อน การตามล่าผู้ส่งจดหมายคงเว้นได้อีกสองวัน

 

          ไม่นานรถม้าที่ผมนั่งก็แล่นมาถึงโรงแรมที่ผมเข้าพัก ผมไม่ได้เปิดห้องเพิ่มแต่แยกอีกคนไปนอนกับคาร์ก ส่วนผมก็นอนกับแขกที่คุ้นเคยกันแล้ว(ในความคิดของผม)

 

          โรงแรมเก่าเก็บโรงแรมเดียวในเขตนี้ที่ยังคงความหรูหราในอดีตไว้ได้ ผ้าม่านสีเหลืองอ่อนปกคลุมตลอดห้องจัดระบายอย่างสวยงามมุมขอบมีการอาศัยของสัตว์ชั่งสรรค์สร้างอย่างเชื้อราเกาะเป็นรอยตะเข็บผ้า โต๊ะเล็กปลายเตียงขนาดสามคนนอนได้สบาย ผ้าปูที่นอนสีขาวที่เริ่มเปลี่ยนสีตามกาลเวลาผมเคยสัมผัสแล้วหลายครั้ง ผมหันไปมองหน้าคนที่เริ่มสำรวจห้องอีกคน

          “อย่างน้อยฝนตกลงมาเราก็นอนหลับได้อย่างสบาย”

          “เป็นเช่นไรฉันก็อยู่ได้ นายยังเคยพาฉันไปนอนที่บ้านโสเภณีของนายมาแล้ว”

          “ใครบอกว่าบ้านฉันเล่า ฮ่าๆๆ บ้านของหล่อนดอก”

          “ฉันว่าฉันคงกลายเป็นผัวหล่อนไปแล้ว ถ้าเข้าไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง”

          “อย่าติดใจรสชาติของหล่อนจนลืมคดีที่เราทำล่ะ ฮ่าๆๆ”

 

          “ถึงเวลาฟัง...” เขาเบาเสียงลงจับแขนผมดึงไปนั่งข้างๆบนเตียง แล้วควักจดหมายออกมาอ่าน “เมื่อด๊อกทาวน์เป็นดั่งกรรไกรคมกริบเปิดฉากริบบิ้นแสนสวย เมื่อนั้นเทมส์สายนั้นจักคร่ำควรญอีกครั้ง...”

          “เราต้องไปดูชันสูตรศพด้วยตัวเองก่อน”

          “พรุ่งนี้เราจักไปกันเมื่อฟ้าสาง”

          “คืนนี้พักผ่อนเถิด”

 

 

          ผมบอกเขาที่เอนตัวลงนอน เสร็จก็ถอดเสื้อผ้าเปียกเหล้าตัวเองออก เสื้อซับด้านในก็ยังชุ่มอยู่ คงต้องทิ้งร่างลงทั้งแบบนี้เสียแล้ว

          “เอานี่ไปใส่”

          “ขอบใจ”

          เขาถอดเสื้อนอกออกแล้วถอดเชิตที่ตัวโค่งที่ยาวเหมือนโค้ทมาให้ผมใส่ไว้ เขายังมีอีกเสื้ออีกชั้นกับกางเกงใส่อยู่ นี่เป็นที่ปกปิดร่างกายตัวเดียวที่ผมมี เขาคงทนเห็นผมแก้ผ้านอนข้างๆไม่ได้ดอก ...ฮ่าๆๆ ตากผ้าพาดไว้กับราวไม้และโซฟาข้างเตียงเสร็จก็มาล้มตัวลงนอนข้างๆเขา

          “หลับแล้วหรือ”

          “อีกพักใหญ่”

 

          “ทำความรู้จักกันมากขึ้นไหม”

          “ยังไง”

          “ทำไมนายถึงเป็นนักสืบ”

          “หลายเหตุผล ใจความเดียวคือต้องเป็นที่ยอมรับเรื่องความสามารถให้ได้ ไม่อยู่แบบไร้ค่าและเอาตัวให้รอดจากสังคมที่นี่”

          “อยากถามอะไรบ้างไหม”

          “อยากเดามากกว่า”

          “เดาอะไร”

          “นายอยากมีเพื่อนซักคนที่รู้ใจแบบฉัน”

          “อาจใช่...” เขาขยับตัวตะแคงหันมาด้านผม “ทำไมถึงแต่งตัวเป็นหญิงเล่า คนอื่นรู้เข้านายจะดูวิปริตในเรื่องต้องห้ามได้นะ”

          “ไม่สนดอกสหายเอ๋ย มันสนุกที่ได้ทำความรู้จักคนในอีกแบบที่เราเป็น มันเป็นทั้งงานและสีสัน”

          “มีคดีไหนที่นายคิดว่ายกจนเกินไปไหม”

          “ไม่มีดอก มีแต่ต้องใช้เวลาใตร่ตรองนานเกินไป”   

          “อืม...นายเป็นเพื่อนพ่อของฉันได้อย่างไรเล่า”

          “…”

 

       

 

          เพราะความอิดโรยจากฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปเมื่อคืน ถึงไม่ได้เมามายจนไร้สติเหมือนเมสันแต่มันก็เล่นเอาสะตอนเช้าร่างกายหนักอึ้งไปหมด เช้ามาสภาพเหี่ยงแห้งทั้งร่างทำให้ผมยุงตัวขึ้นมาอย่างโงนเงน คนข้างกายผมยังหลับอยู่เช่นกัน วันนี้เราต้องไปสองที่การเดินทางเว้นวรรคกันช่วงใหญ่ในแต่ละสถานที่นั้นห่างกันคนละมุม นครเลยทีเดียว ถึงเมื่อคืนเราจะนัดกันตื่นเช้าฟ้าสางแต่ตอนนี้แสงแดดทักทายเราแจ่มจ้าเสียแล้ว

          ความยากง่ายของวันนี้ขึ้นอยู่กับการเดินทาง สองวันนี้เราต้องจมอยู่กับการเดินทางเป็นส่วนใหญ่ไม่ดีแน่ถ้าการเข้าไปดูผลชันสูตรในฐานะของตัวผมเองเช่นนี้สิ่งที่ทำมามันจักศูนย์เปล่า ชุดแปรงโฉมก็ไม่มีอะไรจะใช้ได้เลยในตอนนี้ ผมต้องกลับบ้านเสียก่อน

           “เราทั้งคู่ตื่นสาย”

          “เป็นอย่างนั้น”

          เขาหันมาพูดกับผมเมื่อลืมตาขึ้น ผมถีบผ้าห่มแล้วมุดตัวเข้าไปคานเข่าไปดึงเสื้อผ้าที่โซฟาปลายเตียงดึงทุกอย่างติดมือกลับขึ้นมาในผ้าห่มที่หัวเตียง เขาหันตัวหนีผมไปอีกด้านเพื่อให้ผมทำธุระส่วนตัว มันก็แปลกอยู่ดอกถ้าผู้ชายจะขยันแก้ผ้าให้กันดูบ่อยเหลือเกิน โดยไม่มีกิจกรรมอันใดเหมาะสมจะทำเลย แต่เหมือนทุกอย่างชอบเอื้อให้ผมต้องแสดงความลุ่มล่ามตัวต่อหน้าเขาเจอกันสามครั้งแต่นี่ก็สองครั้งแล้วที่ผมทำอย่างนี้

          เมื่อเสร็จกิจผมยื่นเสื้อให้เขาคืนไปใส่ เราก็ออกจากห้องลงมาจัดการทุกอย่างให้เสร็จ คาร์กกับคนของเขารอเราอยู่แล้ว เขากำลังจะเดินไปที่รถม้าของเขาแต่ผมจับแขนไว้

          “เราต้องกลับไปด้วยกัน ไปบ้านฉันก่อนเถอะเพื่อนเรามีอันจำเป็นต้องทำก่อน”

          “ตามนั้น”

          “เอลเว่นครับ ช่วยปกปิดผ้าในรถราวกับมีคนนั่งอยู่ในนั้นตลอด วนไปอีกทางตรงข้ามกับเราเราจะกลับไปเจอกันที่เขตด๊อกทาวน์อีกที” ผมบอกเอลเว่น

          “ครับคุณนักสืบ”

 

          “มาเร็ว...” เขาดึงแขนผมเข้ามาในรถที่เขาเข้ามานั่งรอแล้ว

          เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่น๋อ ...

          ผมรู้สึกชอบใจเมื่อท่าทางสหายคนใหม่ของผมเป็นอย่างนี้ เรารู้จักกันไม่กี่วันแต่ไร้ช่องว่างจากกันและกันเสียแล้ว เขาสนิทผมเข้าไปในใจ ผมก็เห็นเขาเป็นมิตรใหม่และเพื่อนที่ยั่งยืน เกลอรักของผมคงยินดีที่ลูกชายของเขาเป็นเพื่อนของผมเช่นกัน ความสัมพันธ์นี้ทบกันเป็นสองด้านเสียแล้ว ...บางทีความจงใจสนิทเกินไปก็สอนเราว่าเขามีเรื่องบางอย่าง

          ภายในบ้านที่เขานั่งอยู่ในห้องนอนของผมอีกครั้ง ผมเตรียมชุดของผู้หญิงออกมาสองชุด เป็นไปไม่ได้ถ้าผมจะใช้วิธีเดิมออกไปจากที่นี่ เราต้องออกไปที่ชันสูตรศพแบบที่ไม่มีใครคิดว่านี่เป็นเรามาก่อน

          “ให้ช่วยเลือกสีหรือ”

          “ให้ช่วยใส่เป็นเพื่อนดอก ลุกขึ้นมา”

          “ไม่มีทาง ยอล! ถอยห่างกันเถิด” พูดเสร็จเขาก็ผายมือหลีกตัวเดินออกจากที่

          ผมรวบแขนเขาไว้ดึงข้อมือมายัดชุดนี้ใส่มือให้ “มันเป็นงาน เราต้องเข้าไปที่นั่นราวกับว่าหญิงสาวแม่ม่ายตำรวจตามหาสามีของพวกนาง เราจึงจะเข้าไปดูศพได้”

          “แต่ยังไงฉันก็สามารถเข้าไปดูได้เลย”

          “แล้วฉันเล่า นายจักให้ฉันรอดูด้านนอกหรือเดินไปด้วยแบบนี้หรือ”

          “...” เขารับชุดไปส่งสายตาเคืองแค้นกลับมาให้ ผมยิ้มรับอย่างเข้าใจว่ามันเป็นครั้งแรก พร้อมกับช่วยถอดเสื้อผ้าเขาออกให้ ถ้าผมไม่ช่วยเขาแต่งวันพรุ่งนี้ก็คงยังไม่ได้เดินทางไปกันดอก

          “อันนี้จำเป็นเหรอ”

          “คริส! ยืนนิ่งไว้”

 

 

          ผมจับผ้ามารัดรอบหน้าอกเขาไว้แล้วกะตำแหน่งหน้าอกเพื่อยัดฟองน้ำ คอร์เซ็ตที่ผมกำลังดึงหมัดมันจนแน่นจากด้านหลังโดยใช้เข่ายันตัวเขาติดเตียงดึงสายรัดถลกขึ้นมารวบไว้ผูกเป็นรูปริบบิ้นถักทีละสายและรวบทั้งหมดมาดึงขึ้นอีกครั้งให้ทุกอย่างรวบเอวเขาให้เพรียวแน่น อึด!...

 

          “อ๊ากก!!! …” เขาร้องลั่นป่าแตก...ราวกับว่าผมทำเรื่องอย่างว่ากับสาวแรกรุ่นเชียวตอนนี้

          “ทนอีกนิดก็เสร็จแล้ว”

          “เอ้อ...เออ..”

          ผมดึงแน่นเข้าจนเอวเรียวเล็กตามทรงของชุดแล้วผูกมัดมันแน่น เฮ้อ...เสร็จ! เสร็จจากส่วนนี้เราต้องมาเริ่มส่วนต่อไป ถุงน่องที่ต้องใส่ซับชั้นในกันพลาดผมต้องเลือกชนิดหนากว่าที่ผมใส่เอง ราวกับว่ามันแน่นเกินไปจนเกือบปริออกมา ผมจึงได้แค่ถลกกระโปรงขึ้นมาแล้วใส่ซับไปอีกชั้น ชุดกระโปรงระบายทรงสุ่มเสื้อคอสูงปิดไหล่ผ้าระบายทำผมกับวิกที่ค่อยๆจัดทรง

          อารมณ์บนใบหน้าของเขาทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นปะทะสายตานั้นหงิกหงอด้านชาใส่ราวกับผมทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัยเสียแล้ว ยังดอก ...คริสเพื่อนรักเรายังมีอะไรหนักหนากว่านี้รออยู่

          “เงยหน้าขึ้นหลับตาไว้...”

 

 

          เขาทำตามที่ผมบอกด้วยคิ้วและใบหน้าที่เริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่สะแล้ว เปลี่ยนรูปมาขมวดและหงิกงอ แป้งที่ตบลงไปพร้อมกับดินสอที่บรรจงวาดคิ้ว แปรงขนต่างแตะด่างสีฝุ่นลงบนหน้า เขาหน้าหวานทีเดียวเชียว ขนตากับสีผมรับใบหน้าคมหวานหยดเขาสวยกว่าผู้หญิงชนชั้นสูงหลายคนที่ผมเดินผ่านเสียอีก

 

         พวกเราทุกคนยืนอยู่หน้าสำนักงานใหญ่สก๊อตแลนยาร์ด ป้ายสัญลักษณ์แห่งความมั่งคงด้านกฎหมายของชาติและผู้นำความเจริญแห่งอารยธรรมด้านความถูกต้อง ผมเคยปฏิญาณไว้ต่อหน้า ด้วยความซื่อสัตย์ในหน้าที่ แต่วันนี้ผม...อยู่ในสภาพที่แตกต่างออกไปเหลือเกิน

            หล่อนข้างกายผมดูจะอารมณ์ดีออกนอกหน้า ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าครั้งนี้ต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ การเข้าไปดูศพของตำรวจมันจักมีอะไรน่าหฤหรรษ์มากหนักหรือ

            “เข้าไปกันเถอะ...” หล่อนหันมาบอกผมที่แทบจะไม่กล้าก้าวขาเดินลงจากรถม้า

            “ยอล เดี๋ยว!”

            “ว่ามาสิ..” เขาหันมาหาผม แล้วผมจะกล้าบอกได้อย่างไร ความเคอะเขินล้นออกนอกหน้าถึงเพียงนี้

            “ฉันต้องพูดจายังไงบ้างแล้วกิริยาต้องแสดงแบบไหน”

            “เดินตามมาเรื่อยๆ แบบที่ฉันทำนะสหาย พูดจาไม่ต้องเดี๋ยวพูดให้เองตามน้ำฉันเรื่อยไป เราจักรอด”

            หล่อนบีบไหล่ผมให้กำลังใจผมพยักหน้าดึงหมวกมาปกปิดไว้จนเกือบมิดหัว หล่อนดึงมันออกแล้วเปิดหน้าให้ผมทันที ผมได้เพียงกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่เผื่อความประหม่ามันจักลงไปด้วย

            “อืม...พร้อมแล้ว”

            “อีกอย่าง...สหายรัก” เสียงหล่อนทำให้ผมตื่นเต้น “เราไม่ได้มาดูศพ เราจักมาลากศพออกจากที่แห่งนี้”

            “…” ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร

            เขาดึงมือผมเดินเข้ามาข้างในเสียแล้ว หัวใจของผมเต้นโครมครามออกมาเมื่อคิดถึงสิ่งที่เราต้องทำ มันผิดและก็ไม่ต่างกับอาชญากรที่ต่อต้านกฎหมาย การให้ความร่วมมือกับตำรวจคือสิ่งที่ถูกและหลักฐานต้องอยู่ภายใต้การดูแลที่ถูกต้อง ผมจักร่วมมือในครั้งนี้ดีแล้วหรือ แต่ถ้าผมแยกตัวออกไปสหายของผมเขาจักทำอย่างไร มากน้อยแค่ไหนในความคิดที่ผมต้องทำเรื่องที่ถูกต้อง ...

            ผมเลือกหล่อนตรงหน้า ผมตัดสินใจแล้วเป็นยังไงก็เป็นกัน หล่อนต้องมีเหตุผลที่ทำแบบนี้ ผมเชื่อ เพราะหล่อนช่วยเหลือผมอยู่ เราต้องจับคนที่ทำเรื่องนี้มากกว่าการหาเหตุผลในเรื่องต่างๆที่ทำ ผมตัดใจกับสิ่งเหล่านั้นและก้าวต่อไปข้างๆหล่อนทันที

            ท่าทีของหล่อนที่เดินจับมือผมไว้แน่น อาการปกติดูไม่มีความน่าสงสัยจากผู้พบเห็นผมก็เพียงแค่เดินตาม ปกปิดใบหน้าบ้างที่เดินผ่านลูกน้องบางคน

            ภายในอาคารขนาดใหญ่ใจกลางกรุงลอนดอนตึกทรงสี่เหลี่ยมโครงสร้างภายในวาดเป็นสี่ทิศตรงกลางโล่งแนวยาวตามทางเดินกว้างเข้าหากันทุกทิศทาง ด้านล่างคือห้องใต้ดินที่สำหรับเก็บศพคดีต่างๆและคุกขังผู้ต้องหา เป้าหมายของเราคือที่นั่น เราลงตามที่เจ้าหน้าที่นำทาง เจ้าหน้าที่คนนี้ไม่กล่าวถามอะไรเรามากนัก เขาคงรู้จักกับหล่อนอยู่แล้วบ้าง ให้มันได้อย่างนี้สิกรมตำรวจ ชั่งเห็นพวกพ้องสำคัญเสีย

            วนลงบันได้มาสามชั้นห้องใต้ดินก็เปิดออกให้เราลงทะเบียนญาติเข้าตรวจศพของตำรวจผู้เสียชีวิต ผมยืนมองในสิ่งที่ต้องทำ แต่เราไม่ต้องเซ็นชื่ออะไร หล่อนหันมาหาผมแล้วบีบแขนเบาๆ แล้วหันหน้าไปยัดกระดาษให้เจ้าหน้าที่ ตั๋วเงินนั่น ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงกระชากมันให้หลุดมือ ผมรู้ว่าหล่อนเข้าใจผมตอนนี้ ผมกำแขนหล่อนติดมือไว้ และอยากขอบใจที่โชว์อีกด้านของการทำงานที่เลวทรามของเจ้าหน้าที่

            การเข้ามาดูจักเป็นเรื่องง่ายแต่เรื่องที่เราจักออกไปนั้นยังมองไม่เห็นทางเลย เราเข้ามาในห้องที่ผมเข้ามาแล้วบ่อยครั้ง มันเป็นห้องเก็บศพที่อุณหภูมิค่อนข้างเย็น มีความอัพชื้นเพราะน้ำแข็งโอบล้อมห้องข้างๆไว้เป็นเหมือนช่องสี่เหลี่ยมแช่แข็งจากผนังด้านใน ยอลมองดูรายชื่อทั้งหมดแล้วขอดูศพบางรายชื่อ เจ้าหน้าที่ก็ดึงร่างไร้วิญญาณของตำรวจออกมาสามสี่ร่างส่งกลิ่นฟอร์มาลีนติดจมูกจางๆปนกลิ่นเหม็นที่ถูกบดบังไว้ภายในห้อง หล่อนใส่ถุงมือยางจับพลิกไปมาอย่างไม่รังเกียจ ผมเข้าไปช่วยตรวจดูสิ่งที่หล่อนต้องการ หล่อนมองหน้าผมแล้วยิ้มให้ หล่อนเลือกตู้ที่สามนับจากผนังถัดมา เจ้าหน้าที่มองเราอย่างใกล้ชิด และใกล้ชิดจนเกินไป เขามองหน้าผมบ่อยครั้งทั้งยังยิ้มให้อย่างน่าขนลุก ผมรู้ความหมายของมันดีเยี่ยงชายด้วยกัน อีกคนก็มองหล่อนเพื่อนผมแบบนั้น

            “ร่างไหนคือสามีของคุณสุภาพสตรีหรือ” นายสิบหนุ่มใบหน้าโล้นหัวใสไร้ผมเกือบทั้งหัวเว้นจุกหน้าฟูชี้ขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น ผิวขาวซีดเผือกเพราะอยู่ในที่อับชื้นไร้แสง เขาทำงานในนี้มาโดยตลอดผมเห็นเขาก็มากครั้งแล้ว

            “ขอโทษเถิดสุภาพบุรุษหนุ่ม เจ้าหน้าที่ผู้หล่อเหลาที่ให้ความช่วยเหลือฉัน ฉันขอใช้เวลาซักครู่เถิด สามีฉันที่ห่างกันไปแสนนานฉันจำได้เพียงใบหน้าเก่าของเขาเท่านั้น”

            “โถ่...หล่อนใจเย็นเถอะ ฉันจักช่วยหล่อนเท่าที่ฉันจะทำหน้าที่ได้เลย” เขาทุบอกอย่างภูมิใจว่าเขาคือความหวังของเพื่อนผม น่าสงสารจริงๆเขาโดนหลอกอย่างไร้เยื่อไร้เสียแล้วนั่น

            “แล้วหล่อนอีกคนเล่า หาสามีเจอบ้างหรือไม่”

            “เหมือนกัน..ค่ะ ยังไม่เจอ”

            ผมเดินเข้าไปใกล้หล่อนเพื่อนของผม แล้วใช้ไหล่เขาบังเจ้าหน้าที่ไว้ มองดูศพที่นอนอยู่เพื่อสำรวจบ้าง หล่อนไม่ได้สนใจผมเลย เอาแต่ดูศพราวกับว่าเป็นเพชรพลอยสำหรับผู้หญิง ผมอยากถามหล่อนว่าเราต้องเอาร่างไหนออกไป แล้วออกไปแบบไหน แต่นายสิบผู้นี้ไม่เปิดโอกาสเลย

            “เจ้าหน้าที่ของฉัน...”

            “ว่าไงครับคุณสุภาพสตรี”

            “ศพนี้ค่ะ สามีของฉัน ฉันขอดูแฟ้มข้อมูลของเขาหน่อยเถิด”

            “อยู่ด้านนอกโน้นที่ตู้เก็บ เราไปดูกันเถอะ” เขาโอบไหล่หล่อนไปดู หล่อนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

            “เดี๋ยวตามออกไปค่ะ ขอปลอบใจเพื่อนฉันก่อนเถอะนะ”

            “ให้กระผมช่วยอะไรบอกได้เลย ผมจักไปหาข้อมูลรอไว้ให้” แล้วเขาก็เดินออกไป

            ยอลเดินมาหาผมแล้วลากแขนไปใกล้ๆพลางทำหน้าเศร้าโศก ใบหน้าของผมก็ได้แค่กลั้นอารมณ์อื่นๆทำเหมือนไม่มีความรู้สึกอะไร ก็ผมไม่ได้หลงใหลความไม่เป็นตัวเองแบบหล่อน ผมทำดีเท่าที่ผมจักช่วยหล่อนได้แค่นั้น

            “อยู่ในนี้ มุดเข้าไปในช่องน้ำแข็งที่แช่ศพจ้วงทุ้งมันออกไปอีกห้อง เอาศพนี้ไปด้วย รออยู่อีกด้านของห้อง ผูกเชือกหัวท้ายของศพไว้ผมจักไปหลอกล่อเจ้าหน้าที่”

            “ทำยังไง ทำไม่เป็น”

            “อย่างนั้นออกไปรับหน้าเจ้าหน้าที่ไว้ ผมจักมุดช่องนี้เอง”

            “รับยังไง...”

            “ก็ทำให้เขาอยู่กับเราให้นานที่สุด ในแบบที่หล่อนควรจะทำ”

            “เห๊...” ผมร้องเสียงหลงอย่างอดไม่ได้ หมายความว่าผมต้องใช้อะไรอย่างว่าที่ผมไม่มีหรือไง ผมยอมมุดไปอยู่กับศพดีกว่า

            “เดี๋ยวใช้แรงเอง ไปใช้ร่างกายเถอะ”

            “ตกลงตามนี้...เราจักเจอกันอีก 20 นาที”

            “ขอมากกว่านี้กำแพงที่นี่หนาและอีกด้านก็โอบด้วยน้ำแข็งนะ ต้องกระแทกกำแพงออกไป ห้องอีกด้านเป็นห้องปิดตาย เราก็เอาศพออกไปไม่ได้อยู่ดี นายจะเข้ามาหาฉันได้อย่างไรก็ยังไม่รู้เลย”

            “นายเข้าไปให้ได้เถอะ ฉันรู้จักตึกนี้ดีพอกับนาย แล้วจะเข้าไปหาเอง”

            “ทำไมถึงรู้จักที่นี่ดี” ผมถามเอาความมั่นใจ

            “ปู่ของผมออกแบบที่นี่ ผมศึกษามันไว้นานแล้ว”

            “ผมจะรออยู่อีกห้อง ขอเวลาให้พอนะ”

            “ตกลงตามนี้” หล่อนกำลังจะเดินออกจากห้องผมจับแขนหล่อนไว้ “อย่าทำอะไรให้มันเกินไป...”

            “รู้ดอกน่า...” เขาตบหลังมือผมให้ปล่อยออก

            ผมก็ไม่รู้หรอกว่าพูดแบบนั้นออกไปทำไม แต่ก็พูดออกไปแล้ว หล่อนไปทำงานของหล่อนผมก็ควรทำงานของผมต่อไป ขวานด้ามยาวขนาดเหมาะมือที่ผมหยิบขึ้นมากระแทกปลายช่องใส่ศพ ด้านนอกมีเสียงสะท้อนอกไปทันที เจ้าหน้าที่มีเพียงสองคนเท่านั้นคนหนึ่งไปบันทึกการเข้าออกตามเวลา อีกคนหล่อนจัดการอยู่...

            จักต้องทำให้เงียบและไม่เกิดเสียง 20 นาทีเท่านั้นหลังจากนี้เอาว่ะ! ผมมุดตัวเข้าไปในช่องที่แช่ศพเอาไว้ แต่กระโปรงมันติด...ลอดช่องเข้ามามากกว่านี้ก็ไม่ได้ต้องราบตัวให้เป็นแนวนอนเหมือนศพนอนเท่านั้น ผมลงมาจากช่องที่ใช้หน้ามุดเข้าไปแล้วเมื่อกี่ ดึงกระโปรงชั้นแรกออกเหลือแค่ผ้ากระโปรงชั้นในสีขาวเรียบถลกขึ้นแนบขายัดไปด้านหลัง สองมือยึดที่จับช่องแช่นั้นแล้วโหนตัวเข้าไปตามแนวนอน เมื่อผมสามารถเอาตัวเข้ามานอนหงายแทนที่ศพได้ ผมก็ไถลตัวเข้าไปในช่องขวานที่แนบไว้ตอนนี้ชักมันลอดเข้าหว่างขาอย่างระวัง ชันเข่าขึ้นมาเท่าที่ทำได้พอมันติดผนังช่องแล้วก็ใช้แรงทั้งหมดที่มีส่งไปที่แขนกระทุ้งกระแทกช่องให้น้ำแข็งแตกออก แต่มันไม่สะเทือนเลย ผมต้องใช้เท้าถีบช่วยแล้วกระทุ้งต่ออยู่แบบนั้น สองสามครั้ง ..

            “มีใครอยู่ในนั้นหรือป่าว...เจ้าหน้าที่!!!...” เสียงใครด้านนอกเหมือนจะเดินเข้ามา

            ผมจัดตัวนอนนิ่งราวกับศพแทน เสียงของเข้ามาใกล้ขึ้น และเหมือนมาอยู่ด้านในเสียแล้ว

            “ทำไมไม่เอาศพเข้าไปด้านในให้เรียบร้อยก่อนออกไปนอกห้อง แบบนี้ฉันจักรายงานเจ้านายของเราเสียดอก ไม่รับผิดชอบเอาเสียเลย” เขาบ่นงุ่มง่ามอยู่อย่างนั้น ด้านล่างผมเหมือนเขาสอดศพเข้าไปในช่องของมันแล้ว ผมได้แต่นอนนิ่งไว้

            แคร่ก...เสียงลูกกรงปิดประตูด้านนอก ชายผู้นั้นออกไป ผมเริ่มงานต่อ เวลาน้อยลงไปเต็มทนที่ผมจะทำงานสำเร็จ หล่อนจัดงานของหล่อนได้ดีเยี่ยมแล้ว สิ่งที่ปะทะกับน้ำแข็งออกง่ายที่สุด ทางเดียวคือเผา ...จะยังไงก็ชั่งมันผมเลือกแบบนี้แล้ว ผมหาฟางมาแช่ในช่องอิฐที่ตัวเองเข้าไปนอนเมื่อกี่ ถ้าจุดไฟแล้วผมจะมุดออกไปได้ยังไง ...ผมต้องใช้ทางอื่น

            ผมรื้อฟางออกมาคืน แล้วเอาตัวเองเข้าไปนอนกระทุ้งอิฐใหม่ ต้องไม่ทันเวลาแน่นอนถ้าเป็นแบบนี้ผมต้องทำยังไงดี ไอ้ศพนี่ผมก็ยังไม่ได้ดึงมันขึ้นมายัดไว้ ตัวผมจะออกไปยังไม่ได้เลย ถ้ามีคนเข้ามาช่วยดึงมันออกไปจากอีกฝั่งก็คงดี

            ผมหันไปมองเจ้าหน้าที่คนนั้นผ่านลูกกรง เขายังไม่กลับมาก็แปลว่าหล่อนยังอยู่กับเขา งานของผมไม่ล่วงหน้าเลย อิฐอีกด้านมันไม่หลุดออก น้ำแข็งก็กะเทาะออกเพียงครึ่งก้อน กระทุ่งอีกครั้งมันก็ออกไปอีกนิดหน่อยเท่านั้น ...

            ผมหยุดทุกอย่างหลับตานอนคิด ผมมีอะไรติดตัวมาบ้างนอกจากยศตำรวจนึกมานึกไปในห้องนี้ก็มีแค่อุปกรณ์ล้างศพ น้ำยาอาบศพ ควาน มีด อิฐ สายยาง น้ำ...ด้านนอกคือเทมส์เราต่อน้ำมาจากที่นั่น  ถ้าผมฉีดสายยางอัดเข้าไปมันจะทะลุอีกฝั่งได้อย่างแน่นอนโดยช่องนั้นเป็นช่องแคบๆอัดเข้าไปที่อื่นจะไม่เสียหายด้วย จากการคำนวณดูคร่าวๆแล้วมันเป็นไปได้มากกว่าไฟ

            ผมถอยตัวออกมาจากช่องลงมาลากสายยางเข้าไปไว้ในช่องแล้วอัดเข้าไปที่ช่อง ดึงศพออกมาจากด้านล่างแล้วยัดเข้าไปในช่องด้านบนที่ผมนอนเมื่อครู่ สอดสายยางเข้าไปข้างๆตัวศพ ใช้ขวานจามบล็อกข้างๆให้เกาะสายยางมั่นติดกับอิฐ แล้วเปิดก๊อกน้ำอัดเข้าไปในสายยางจนสุดแรงก๊อก

            ฟู่!!! เคร้ง...เคร้งง...ป๊อก!! ป๊อก!! ผมมองดูน้ำปะทะกับน้ำแข็งอัดเข้าไปเต็มแรงจนมันพังลงไปอีกฝั่ง อิฐที่อัดตัวไว้ก็แตกออกไปด้วย ผมเปิดน้ำแล้วดันศพให้ออกไปรออีกฝั่งแล้ว ผมเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เข้าที่

            “เสียงอะไรไป...เจ้าหน้าที่นายอยู่ด้านในเหรอ!” ไอ้เจ้าหน้าที่คนเดิมมันกำลังจะเข้ามา ผมต้องโดดและยัดตัวเองเข้าไปให้เร็วที่สุด

            รวบกระโปรงเสร็จก็ยัดตัวเองไหลเข้าไปตามช่องใส่ศพ ก่อนที่จะไหลลงมาอีกฝั่งผมดึงฝาปิดบล๊อคกดเข้ามาอัดไว้ เป็นอันเสร็จทุกอย่าง แสงจากเท้าของผมส่องเข้ามาเหมือนมีใครอยู่อีกฝั่ง

            “ออกมาได้แล้วเร็วๆสิ” เสียงของหล่อน

            “เออ ..ออกไปเดี๋ยวนี้แหละ!”

            ผมไหลตัวออกมาด้านนอกได้สำเร็จ สภาพกึ่งเปียกปอนเหมือนศพที่โดนแช่มาก่อนหน้านี้

            เขามองหน้าผม...

            “เราต้องออกไปจากที่นี่!”

            “ยังไงบอกมาสิ เราต้องรีบไปก่อนที่พวกนั้นจะรู้ว่าศพหาย”

            “กำแพงนี้ติดสูงกว่าแม่น้ำเทมส์ด้านนอกอยู่ราวๆช่วงก้าวขา เราจะต้องพังกำแพงออกไป”

            “เอาสิ เราต้องใช้ขวานขนาดใหญ่ไม่ก็ค้อนทุบ”

            “ลากค้อนมาไว้รอแล้วสหายจัดการกันเลย”

            เขายกค้อนขึ้นมาด้วยสองมือแล้วทุบลงไปที่อิฐอย่างรุนแรง มันแตกออกในครั้งเดียวส่วยผมก็ใช้อีกอันทุบช่วยอย่างขะมักเขม้น ช่วงครู่เดียวมันก็หลุดออกเป็นวงกว้างพอที่เราจะลอดได้

            “ศพถูกขโมย!! ศพถูกขโมย!!! เร็วเข้าหาตัวคนร้าย!!” เสียงด้านนอกดังมาจากอีกห้อง

            “เอาไงต่อออกไปได้ยังไงอีกฝั่งคือแม่น้ำ”

            “ก็ว่ายออกไปสิ เร็วเข้าเรือของคาร์กกับเอลเว่นลูกน้องนายรออยู่แล้ว”

            “เห๊...ทำไมฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้เล่า”

            “เอาไว้ค่อยถามต่อจากนี้เถิดไปกันเร็ว”

            หล่อนแบกศพขึ้นหลังแล้วทิ้งลงไปในแม่น้ำ ก่อนที่หล่อนจะยันตัวน้อยๆแล้วโค้งตัวโดดตามลงไปลากมันว่ายไปเรื่อยๆ หล่อนดูจะเฉี่ยวชาญในเรื่องแบบนี้ ผมมองไปดูกำแพงอีกฝั่งที่มีรอยแตก หล่อนใช้วิธีเดียวกับผมคือพังกำแพงเข้ามาเหมือนกัน แรงหล่อนไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

             ผมโดดลงตามในและว่ายน้ำตามติดกับหล่อนมาเรื่อยๆ เรือนั้นจอดไม่ไกลมากลางแม่น้ำพอดี มันคงพ้นเหล่าเจ้าหน้าที่ที่ตามมาแล้ว แต่ผมรู้สึกราวกับว่ากำลังจักหายใจไม่ออก เรี่ยวแรงที่ไหล่และอกไม่มีแรงออกมาดื้อๆ เหมือนกับว่ามันโดนรัดแน่นไปหมด ผมจักจมลงในแม่น้ำตอนนี้เสียแล้ว หล่อนว่ายน้ำจวนถึงเรือคงมองกลับมาไม่เห็นผมดอก...

            ผืนน้ำที่อยู่ด้านบนไกลห่างออกมาเรื่อยๆ ผมมองเห็นภาพนั้นลางเลือนลมเฮือกสุดท้ายกำลังจะสำลักออกจากปอด ใครซักคนกำลังว่ายลงมาใกล้ อัดลมจากปากเข้าปอดผม...ใบหน้าของหล่อนชัดเจนเมื่อปากแนบติด ผมอ้าปากรับลมราวกับว่ามันเปิดปิดตามใจชอบของมัน สติผมรับรู้ถึงการกระทำที่หล่อนทำทุกอย่าง แม้ปากหล่อนจะประกบกับผมอยู่มือหล่อนกับจาบจ้วงถอดเสื้อผ้าผมปลดเปลื้องอย่างคล่องแคล่ว แผงรัดอกชิ้นสุดท้ายหลุดออก ผมก็สามารถรับลมจากปากหล่อนอย่างง่ายดาย ผมประกบลิ้นเข้าหาหล่อนตอบรับดูดลมจากปากหล่อนเข้ามา หล่อนเหมือนจะผลักตัวออกแต่ผมกดหน้าหล่อนไว้ เราทั้งคู่ว่ายขึ้นบนผิวน้ำ

            เขามองหน้าผม เราทั้งคู่จัดการปลดเปลื้องความเป็นสตรีหลุดออกจากร่างกายทิ้งลงแม่น้ำ วิกผมชิ้นสุดท้ายที่เราแกะมันออก ความเป็นชายของเรากลับมาอีกครั้ง ...

            “นายน้อยขอรับ...”

            “คาร์กนำสารวัตรขึ้นไป”

            ผมรวบตัวเขาเข้ามาใกล้ๆแล้วดันให้ขึ้นเรือไปก่อน เขามิได้มีอาการขัดขืนยอมทำตามโดนดี ผมถึงขึ้นตามไป คนของเราส่งผ้ามาให้คลุมตัวที่ไร้เสื้อผ้าบดบังความหนาวเมื่อลมพัดผ่าน เขาก้มลงข้างศพตรวจดูความเรียบร้อย ศพไม่ได้เสียหายไปมากกว่าการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ เขาหันมามองผมว่ามันยังตรวจสอบได้ ผมพยักหน้าตอบรับ

            “คาร์กล่องไปตามแม่น้ำ เราจักไปบ้านริมฝั่งรีดดิ้ง”

            “ขอรับ”

            “เราจักไปหาผู้ใดกันหรือสหาย”

            “คนที่จักช่วยเราตรวจสอบเรื่องนี้”

            “อืม...”

            เขามานั่งใกล้ๆผม จับมือผมเข้าไปยัดในผ้าที่คลุมร่างกายเขาอยู่ ผมยื้อมันไว้แต่เข้าก็จับมันเข้าไป

            “มันจักได้อุ่นขึ้นสหาย อย่าคิดเป็นอื่น”

            “ป่าว...”

            ผมก็ไม่รู้ดอกว่าผมคิดอย่างไร...

 

 

           กลางแม่น้ำใหญ่ที่ไหลในอังกฤษตอนใต้ เรือขนส่งโดยสารคนสามคนและหนึ่งร่างที่มีชายสูงวัยเป็นผู้โยกย้ายไม้พายอยู่ด้านหลังเรือ ด้านในเรือที่เหมือนห้องเล็กๆตั้งอยู่สามารถมองลอดได้ ชายสองคนนั่งห่มผ้าห่มรอเสื้อผ้าจากคนสนิทอีกคนที่กำลังโบกเรืออีกลำมาสมทบ

            ห่างจากสำนักงานใหญ่สก๊อตแลนด์ยาร์ดมาพักใหญ่ ตำรวจที่มองไม่เห็นเราจากที่ไกลเกินไป เรือก็ล่องไปยังเป้าหมายได้อย่างสะดวก ผมกับสารวัตรใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆคุยกันไปมาเรื่อยๆจนถึงตอนนี้ เราเริ่มเรียนรู้กันและกันมากขึ้นกว่าเดิม ผมนับถือหัวใจของเขาเหมือนกัน เขาเป็นคนที่ตัดสินใจได้เด็ดขาดในเรื่องที่จำเป็นกว่า เห็นความสำคัญที่ต้องทำมากกว่าเหตุผลหรือข้ออ้างอื่นใด ไม่น่าเชื่อว่าเขาจักยอมช่วยผมถึงขนาดนี้ แต่ผมก็เชื่อใจเขาตั้งแต่ก่อนลงมือไปก่อนแล้ว

            “อีกกี่ท่าเรือหรือเราจักได้เสื้อผ้ามาใส่”

            “เอลเว่นรอเราอยู่ใกล้เป้าหมายแล้ว เราจะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นั่นทนหน่อยนะเพื่อน”

            “แสงใกล้บอกลาแล้วกว่าจะไปถึงคงเกือบเช้า...”

            “หนาวไหม”

            “นิดหน่อย ไม่เป็นไร”

            “ไม่คิดว่าเราจะถอดผ้าทิ้งแม่น้ำ ตอนนี้มันคงลอยไปให้เจ้าหน้าที่พวกนั้นเป็นที่ระลึกเสียแล้ว ฮ่าๆๆๆ”

            “พวกนั้นไม่ตามเราทางเรือหรือ”

            “แน่นอนว่าตามสิ แต่เราล่วงหน้ามาไกลแล้ว ส่วนการใช้เรือเครื่องยนต์ตามนั้นไม่ต้องเป็นห่วงดอก เพื่อนฉันในนั้นโดนมอมเหล้าไว้แล้ว”

            “ถามได้ไหม ทำอะไรกับเจ้าหน้าที่อีกคนตอนที่ฉันจัดการกับศพ”

            “คิดว่าอย่างไรเล่า...”

            “ไม่อยากคิด บอกเถิด...”

            “...”

            ผมไม่รู้จักบอกเขาอย่างไร มารยาหญิงดูจะไม่เหมาะกับความเป็นชายของเราที่อธิบายออกไปได้โดยง่าย แน่นอนว่ามันต้องเปลืองตัวเสียบ้างเพื่องานนี้ เขาน่าจะรับรู้มันดีอยู่แล้ว เมื่อเขาอยากให้ผมบอกออกไปตรงๆผมก็จักทำแบบนั้น...

            “เขาอยากปลอบใจหล่อน เพราะสงสารที่หล่อนเสียสามี เขาเลยขอให้หล่อนไปเยี่ยมเยียนเขาที่บ้านในวันนี้ก่อนเดินทางกลับบ้านที่ห่างไกล ...แน่นอนว่าฉันไปนอนกับเขาไม่ได้ดอกอย่างนั้นคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ แต่เพื่อรักษาเวลาที่บอกไว้ ...ฉันจำเป็นต้องจูบกับเขาสหาย จูบที่อยากให้ฉันทิ้งมื้อเช้าและเที่ยงออกมาทั้งหมดเลยทีเดียว”

            “แล้วจูบกับฉันในแม่น้ำเล่า...”

            “นั่นเรียกว่าช่วย ไม่ใช่จูบ”

            “ฉันคิดอีกอย่าง...”

            ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ อะไรทำให้เขาบอกผมแบบนี้ในเมื่อเราต่างก็เป็นชาย เขากลัวว่าผมจักเป็นพวกต้องห้ามหรือ ผมไม่ได้เป็นแต่ก็ไม่ได้รังเกียจที่จะเป็นดอก บอกออกไปเขาจักตกใจโครมครามจนถอนตัวงานนี้หนีผมไปหรือไม่นะ ตอนนี้เขาก็เงียบไปครู่ใหญ่แล้ว ในเรือมีไปท์กับยาสูบวางอยู่ ผมพันมันลงแล้วจุดไฟเดินออกมาสูบที่ใกล้หัวเรือ เขากลับเดินมานั่งข้างๆ เราก็ไม่พูดอะไรกันอีกเช่นเดิม เราสูบยาอยู่ใกล้กัน

            “รู้จักกับพ่อฉันได้ยังไง”

            “เจอกันในคดีแรกที่ฉันเข้าไปช่วย เกลอเป็นคนเดียวที่เชื่อในทฤษฎีของฉันก็เหมือนกันนายตอนนี้ เราช่วยเหลือกัน”

            “เขาเคยมาทำอะไรแบบนี้ด้วยหรือ”

            “ไม่เคยหรอก เราแค่ดื่มกันและช่วยกันในเรื่องข้อมูลเท่านั้น”

            “จันทร์คืนนี้สวยเต็มดวงกลมสะท้อนน้ำ...”

            “อืม”

            เขาเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อรู้คำตอบหมดแล้ว ผมไม่มั่นใจในสิ่งที่คิดเท่าไหร่เขาไม่สนิทกับพ่อของเขาหรือ เราวางยาสูบแล้วกลับมาคุยกันอีกครั้ง ผมหันไปมองคาร์กที่อาสาขับเรือให้เรา ผมอยากไปพลัดเขาแต่เขาไม่ยอมดอก ผมรอให้เขาไม่ไหวหรือเป็นลมตกลงในน้ำไปก่อนค่อยเปลี่ยนผมไปขับแล้วช่วยชีวิตก็แล้วกัน

            เรือล่องไปเรื่อยๆแยกออกจากแม่น้ำสายใหญ่ตรงไปตามตรอกแม่น้ำสายย่อยลงมา ซอกตึกแนวตะวันตกสูงเทียมขึ้นบดบังความงามของพระจันทร์ส่งเราทั้งหมดอยู่ในเงามืด ไฟจากหน้าเรือที่ผมเพิ่งเดินไปจุดเพื่อให้คาร์กมองเห็นมากขึ้นจากแสงนิดหน่อยที่จันทร์กระทบตึกตกลงมา ซีกหน้าของเขาที่ผมมองเห็นเพียงครึ่งนั้นมองว่าเขามีอารมณ์ที่หลากหลายจนผมไม่สามรถจะเข้าถึงมัน ดวงตาคมของเขามองมาที่ผม อารมณ์ที่ตอบรับไม่ถูกในฐานะสหาย ผมยิ้มบางเบากลับไปพลางเบี่ยงเอนสายตาหลบไปทางอื่น

            ราวกับเส้นหมอกแผ่นบางขวางกลั้น ตอนนี้ที่ผมไม่สามารถกล่าวบทสนทนาสื่อสารกันกับเขาได้ คำถามเดียวที่กลั้นผมไว้คือเขามองผมเป็นแบบนั้นใช่ไหม เพียงเพราะการช่วยชีวิตเขาในแบบของผม เขามองผมแปลกไป ฐานะสหายของเราเขายังมองมันเหมือนเดิมอยู่ไหม

            “เอ่อ...พักผ่อนเอาแรงเถิด ที่ว่างข้างศพเรายังปูผ้ากองนั้นมานอนข้างๆได้”

            แคร่ก!!!...ตุ๊บ... “เฮ้ย!!!” เรืองโคลงน้ำละลอกใหญ่ สาวัตรใหญ่ที่ที่ยืนอยู่เอนตัวเข้ามาหาผมพอดีจังหวะที่ผมกำลังเดินเข้าไปด้านใน เป็นเหตุให้ร่างกายของผมกระแทกตัวเข้าอกเขาที่กำลังใช้ท่อนแขนประครองไว้อยู่ตอนนี้

            “เป็นอะไรหรือป่าว”

            “ไม่มี ปล่อยเถอะ”

            “อืม...”

            เราค่อยลุกขึ้นออกจากกัน ผมลากข้อมือเขาเข้ามาด้านในโดยไม่คิดอะไรอีก

            “ช่วยหน่อยสิ”

            “อะไร”

            “ยกขาศพยกขึ้นช่วยขับไปไว้ข้างๆที”

            “เราจะนอนตรงนี้จริงๆเหรอ”

            “ไม่นอนตรงนี้แล้วจักไปนอนที่ไหนเล่า”

            “ที่นั่งในเรือมันพอจักนั่งหลับก็ได้”

            “อย่างนั้นเราก็นอนกันคนละมุม”

            ผมบอกเขาเพียงแต่นั้นก็ขยับตัวเองไปนั่งมองคาร์ก เขามองผมแล้วยิ้มให้ ผมหวังว่าเขาจะให้ผมทำงานต่อจากเขาในตอนนี้

            “เปลี่ยนกันเถอะคาร์ก อีกครึ่งคืนจักปลุกให้มาเปลี่ยนกันต่อ”

            “ไม่ขอครับนายน้อย สภาพนายน้อยมาพายเรือต่อจากผมมิได้ดอก ผ้าผ่อนปลิวหมด”

            “เป็นชายกลัวอะไรแต่เปลือยผ้าเล่า”

            “ไม่เอาดอกนายน้อย เชื่อผมเถอะ พรุ่งนี้ถึงคฤหาสน์ใหญ่ผมจักนอนทั้งวันไม่ให้นายน้อยเห็นหน้าเลย”

            “ขอบคุณมากนะครับคาร์ก”

            “ด้วยความยินดีขอรับ”

            ผมนั่งมองคาร์ก เรายิ้มให้กันซักครู่ผมเอนหัวพังผนังเรือหลับตาลง ...

           

            “นายน้อยตื่นเถอะขอรับ นายน้อย...”

            เสียงของคาร์กแว่วเข้าหูผมก่อนค่อยๆลืมตาขึ้นมอง บรรยากาศภายนอกใกล้สว่างแล้ว คาร์กชี้ให้ผมมองไปที่เอลเว่นที่อยู่ใกล้ฝั่งเทียบเรือโบกไม้โบกมือมาทางเรา คาร์กก็จอดเทียบท่าเล็กๆใกล้ตรงจุดนั้น

            “เป็นอย่างไรบ้างเอลเว่น ได้นอนบ้างหรือป่าว”

            “ไม่เลยครับคุณนักสืบ แต่ผมกระปี้กระเปร่าเหลือเกิน นี่ครับเสื้อผ้าพวกคุณ สารวัตรล่ะครับ”

            “ยังหลับอยู่ด้านใน เดี๋ยวฉันจัดการเอง รีบลงเรือมาเถิด”

            “ครับๆ”

            และเขาก็นำร่างตัวเองโดดลงเรือมาจนน้ำแทบกระชอกเข้าเรืออีกฝั่งเพราะน้ำหนัก ผมขำรับช่วงเช้ากับการกระทำนั้น ผมเลี่ยนเสื้อผ้าตัวเองโดนเอาผ้าคลุมตัวไว้อย่างสุภาพแล้วสารวัตรยังหลับอยู่ผมจึงหันตัวเองด้านเปลือยไปด้านเขาแล้วเปลี่ยนมันให้เรียบร้อย

            “คริส คริส ...” เขาลืมตามองผม “นี่เสื้อผ้า เอลเว่นมาถึงแล้ว”

            “ขอบคุณ..เอ่อ..เหรอ อืม..”

            “ทำไมต้องพูดอะไรติดๆขัดๆด้วยเล่า ฮ่าๆๆ” ผมหัวเราะออกมาเสียงดัง

            ผมเดินไปหาคาร์กเพื่อให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สะดวก ถึงเราเป็นชายแต่เราไม่ใช่คนไม่มีเกียติที่จักแก้ผ้าต่อหน้ากันเมื่อไม่จำเป็นดอก นี่ไม่ใช่การฝึกภาคสนามหรือการอาบน้ำรวมในห้องน้ำในผองเพื่อน เรายังไม่สนิทกันที่จักล่วงเลยความเป็นส่วนตัว มันจึงไม่จำเป็น ผมไม่นิยมการเปลือยต่อหน้า เพราะพ่อสอนให้ผมให้เกียติผู้อื่น พ่อของเขาก็เช่นกัน สหายผมเป็นคนแบบนั้น

            “เราใกล้ถึงหรือยัง”

            “ท่าเรือด้านหน้าเราก็จักถึงแล้ว”

            “เราพาศพมาที่นี่ทำไม”           

            “มาชันสูตรใหม่” ผมต้องบอกความจริงกับเขาข้อหนึ่ง ผมดึงแขนเขามาคุยกันใกล้ๆเพียงสองคน “คริส เรื่องนี้นายต้องรู้ก่อนเข้าไปที่นั่น”

            “มีอะไรเล่า พูดมาสิ”

            “คนที่เราจักไปขอความช่วยเหลือนั้น นายอาจไม่ชอบเขาเลยก็เป็นได้ แต่เขาเป็นมือหนึ่ง และเขาเป็นคนในแบบต้องห้ามสำหรับนาย”

            “หมายถึงอะไร”

            “เขานิยมผู้ชาย...” ผมสบตาเขาเพื่อขอโทษจริงๆ “แต่ฉันสาบานได้ว่าเขาเป็นคนดีและเขาเป็นเพื่อนของฉัน ขอซักครั้งเถิดคริส ร่วมมือกันเปิดใจให้กว้างอย่าต่อต้านอะไรในบ้านหลังนี้ อย่าพูดถึงผู้หญิง อย่า...” นิ้วมือเขาแตะปากผมให้หยุดพูด

            “มีอะไรอีกเยอะที่นายยังไม่รู้ยอล ฉันไม่คิดว่าที่นั่นเป็นปัญหาดอก สบายใจเถิด”

            “ขอบคุณมาก”

            ผมขอบคุณเขาที่เข้าใจว่านี่คืองานของเรา เหมือนที่เขาทำในห้องใต้ดินนั่น เขาเป็นคนที่วิเศษคนหนึ่งจริงๆ ถึงเขาจักคิดว่าผมเป็นคนต้องห้ามอีกคน เขาก็จักไม่กังขาในความสามารถในตัวผมดอก ซักวันเขาก็รู้เองว่าผมเป็นเพียงชายปกติเฉกเช่นเขา

            คฤหาสน์เก่าแก่หลังใหญ่สถาปัตยกรรมตกแต่งภายในและภายนอกเป็นแบบตะวันตกโดนแท้ มีท่าเรือขนาดเล็กหลังสวนให้เรือเราเทียบท่าได้ เจ้าของบ้านรอเราอยู่แล้วผมนัดเขาโดยโทรเลขด่วนที่ให้เอลเว่นเป็นคนส่งให้ ช่วยที่เราสร้างความเดือดร้อนให้กรมตำรวจ

            “มาช้า...ใจจดใจจ่อรอไม่ไหวอยู่แล้วรู้ไหม” เสียงอ่อนหวานหน่อยๆยิ้มให้ผม ผมลงจากเรือเดินขึ้นไปหาเขาที่คุ้นเคย

            ชายใบหน้าหล่อเหลาตาสีเทาแกรมฟ้าเข้ม รูปร่างสูงโปร่งแผงไหล่วงแขนกล้ามหน้าอกเรียกว่าสมบูรณ์แบบในสิ่งที่เขาเป็น ผมสีทองเข้มแนบเรียบรวบติดไปด้านหลัง ชุดเสื้อคอสูงพับปกลงมาผูกผ้าด้านนอกยาวลงมารับกับสูทหรูสีเหลืองเบจเข้ากับกางเกงท่องล่างเป็นชุดที่สุดแสนดูดี ผมชินกับกาแต่งตัวของชายผู้นี้แล้ว

            “เซอร์ฮอค วาเลน ดักลาสต์ แห่งเมืองอ็อกซ์ฟอร์ด รีดดิ้ง” ผมแนะนำเขาให้รู้จักทุกคน

            “คริสโตเฟอร์ อู เพื่อนรักของผม”

            “ลูกชายคนเดียวของอาเธอร์ของฉันเหรอ”

            ผมยักคิ้วน้อยๆให้คริสอย่ากังวลกับคำพูดของเขา “ฮอค เข้าไปด้านในกันเถอะ มีเรื่องให้ช่วยเสียแล้วสหาย” เขาโอบไหล่ผมพาดมือลงมาบีบก้นผมหยอกเย้าช่วยที่เดินเข้ามาข้างใน เราคุยกันอย่างออกรสออกชาติราวกับสหายที่พลัดพราก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจักยอมช่วยผม ศพที่ผมนำมาด้วยเด็กในคฤหาสน์นำเข้าห้องทำงานของเขาแล้ว ปัญหาคือเขาจักเริ่มลงมือให้หรือไม่นั่นแหละ

            ถ้าผมเห็นงานสำคัญกว่าเรื่องส่วนตัว เขาก็ตรงข้ามเขาใช้ชีวิตเพื่อตัวเองและทำอะไรที่เขาอยากจะทำเท่านั้น สิ่งที่เขาพอใจ...เขาจึงจักยอม

            “พักให้สบาย ให้เด็กจัดห้องให้แล้วสหาย ยอลคืนนี้เราจักดื่มด่ำกันด้วยไวน์รสเลิศที่ฉันรอคอย”

            “เอาสิ”

            ผมคิดไว้แต่แรกแล้วว่าเขารอให้ผมมาขอความช่วยเหลือ เขามองผมอยู่ ถึงท่วงท่าเขาจักดูอ่อนหวานกริยากรีดกราย แต่อาเธอร์เคยแนะผมว่าเขานั้นหนาพิงใจในคำว่าสามีมากกว่า วิชาเอาตัวรอดจักเอาออกมาใช้อย่างไรเล่าตอนนี้

            คริสมองผมด้วยสายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึก เราต้องนอนกันคนละห้องแน่นอนอยู่แล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาหน่อยๆเพราะเขาจักได้ไม่กังวลในตัวผม

            “ผมขอตัวไปพักก่อนได้ไหมครับ” เขาพูดขึ้น ผมอยากห้ามการกระทำนั้นแต่ไม่ทันเสียแล้ว

            “ไปสิ๊ ไป...ตามสบาย” ฮอคออกเสียงส่งมือตามที่เขาอยากทำ

            คริสเดินตามพ่อบ้านเข้าไปด้านใน...

            “ยอล...”

            “ครับ”

            “เขาดูไม่พอใจนะที่นายอยู่กับฉัน”

            “ไม่หรอกฮอค เขาไม่ใช่คนแบบนั้น” ผมเดินไปนั่งใกล้ๆเขาหยิบมีดปลอกผลไม้ให้ “ฮอค เรื่องศพที่นำมาให้นายจักช่วยเราไหม”

            “ตอนนี้ฉันอยากให้นายอยู่กับฉัน”

            “กินนี่สิ” ผมป้อนแอปเปิ้ลยื่นใส่ปากเขา

            “นายคงไม่เอามีดไว้ข้างตัวเหมือนครั้งก่อนหรอกนะ”

            “ฉันให้นายได้เท่าที่ให้ได้ ขอโทษฮอค”

            “นายก็ทำให้ฉันใจอ่อนช่วยนายได้ทุกที”

            “อีกครั้งเถอะ”

            “คิดดูก่อน ครั้งนี้ต่างออกไป”

            “อืม” ผมไม่กล้าเร่งรัดอะไรเขาหรอก เราต้องมีแผนรับมือกับเขามากกว่านี้ เรื่องนี้ผมต้องคุยกับคริสอย่างด่วนที่สุด เขาต้องไม่ทำให้เราเสียมิตรภาพที่ดีกับฮอค

            “ฮอค ขอตัวไปดูสารวัตรเพื่อนของฉันก่อนได้ไหม”

            “ห่วงเขา”

            “ใช่”

            “ไปสิ”

            “ขอตัวนะ”

            ฮอคกำลังคิดว่าผมกับคริสมีความสัมพันธ์กันมากกว่าเพื่อน เรื่องนี้จักเป็นประโยชน์แก่เราเสียแล้ว

            ภายในห้องหรูหราตกแต่งโทนสีขาวแดงและทองผสมกันอย่างลงตัวทั้งห้อง คริสนอนอยู่ในเตียงที่ผมกำลังก้าวขึ้นไปนอนใกล้ๆ เขาลืมตาขึ้นมามองผม

            “คุยกันหน่อย” ผมยกมือก่ายหน้าผาก

            “พูดมาสิ”

            “ช่วยแสดงให้อะไรอีกอย่างเถิดคริส”

            “อะไร”

            “แสดงว่าเรารักกันในเรื่องต้องห้าม”

            “เห๊...อะไร..ทำไมเราต้องทำแบบนั้นล่ะ!” เขาลุกขึ้นมานั่งแล้วมองผมอย่างดุเดือด

            “ฮอคคิดว่าเราเป็นแบบนั้น”

            “แล้วยังไง เขาชอบนายไม่ใช่เหรอ”

            “ป่าว ...เขาไม่เคยชอบใคร มันจักดีเยี่ยมถ้าฟังให้จบ”

            “ว่ามาสิ”

            “พ่อของนายกับฉันรู้จักฮอคดี เราเคยช่วยกันคดีเดียวเท่านั้นเป็นคดีใหญ่เมื่อกลางปีก่อน ต่อมาเราแค่เพียงนัดเจอกันในที่สังสรรค์เท่านั้นเมื่อบ้านเขามีงานเลี้ยง เขาควงเด็กเปลี่ยนหน้าไม่ซ้ำทุกครั้งที่เรามา มันเป็นเรื่องปกติ นั่นคือเรื่องในอดีต” ผมลุกขึ้นมากระซิบกระซาบเขาแทน “เราต้องทำเหมือนเราแอบมีความสัมพันธ์กัน เขารู้ว่านายเป็นใครรวมถึงลูกของใคร เขาเป็นคนใจอ่อนในเรื่องความรัก เราต้องยอมช่วยเรา”

            “มันไม่เห็นจะเกี่ยวกัน”

            “ไม่ต้องทำก็ได้ อยู่ในสบาย ฉันจักจัดการเรื่องนี้เอง” ผมเคืองความคิดตื้นเขินของเขา

            ผมลุกขึ้นจากเตียง ฮอคเดินเข้ามาในห้องของคริสพอดี ผมมองไปทางฮอค

            “ทุกอย่างเรียบร้อยไหมที่รัก”

            “ทุกอย่างเรียบร้อยดี”

            “ผมมีเรื่องจักขอหน่อยครับฮอค” คริสพูดขึ้น ผมหันไปมองเขา

            “ว่ามาสิลูกชาย”

            “ไม่ต้องจัดห้องแยกให้ยอล เรานอนร่วมกันได้!” เสียงเขาเข้มข้นดุดันและชัดเจนเกินผมจักพูดอะไรออกไปแล้ว

            “ดา..ย ได้สิ คืนนี้มาดื่มไวน์ด้วยกันนะ”

            “ครับ ด้วยความยินดี”

            เขาตกลงที่จักร่วมมือแล้ว ผมก็วางใจ...

            “อย่างนั้นตามสบายนะ ขอตัวก่อน”

            “ครับ/ครับ”

            ผมยิ้มให้เขาที่หันหน้าหนีไปอีกทาง ผมชกที่ไหล่เขาเบาๆเพื่อหยอกเย้า เขาสวนกลับมากดต้นคอผมบีบแล้วกดลงเตียง ... .. “อ่า...เจ็บๆๆ”

            “เจ็บหรือ” เขาปล่อยมือจากคอผม เอนตัวลงมานอนข้างๆมองหน้าคิ้วขมวด

            “หลอกดอก...ฮ่าๆๆๆ” ผมขยับคิ้วหน้าตาย

            เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนอนยิ้มให้ผมอยู่แบบนั้น สหายผมนี่ใจดีหนักหนา เขาจับตัวผมให้หมุนกลับไปนอนในด้านเดียวกับเตียง

            “นอนกันเถอะ ยังไม่ได้พักเลย คืนนี้เรามีงานสังสรรค์”

            “ขอบคุณนะเพื่อนฉัน”

            “...”

            เขาหลับตาลงแล้ว แต่ผมก็อยากขอบคุณเขาอยู่ดี ความยินดีขนาดนี้หัวใจของผมนึกถึงความสำเร็จในเรื่องนี้อยู่รำไรแล้ว...

            ขอบคุณจริงๆนะเพื่อนของฉัน สหายรัก ที่รู้ว่าฉันจักยอมทำทุกอย่างเพื่อนงานสำเร็จ ผมจับใบหน้าที่หลับใหลไปแล้วของเขาไว้แล้วจูบลงที่ปลายจมูกโด่งนั้น ...เขากลับลืมตาขึ้นมา เราสบตากัน...

            เพียงแค่ผมพักสายตาลงไปไม่ถึงช่วงหายใจหนึ่ง ริมฝีปากของเขาก็ส่งสัมผัสมายังปลายจมูกของผม ช่วงวูบความรู้สึกของผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจเต้นโครมครามเป็นการใหญ่ หากแต่ถ้าผมตื่นอยู่แล้วเขาทำแบบนี้ผมคงคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ถ้าเขามีเหตุผลที่จักทำแบบนี้ เราไม่เคยจูบแก้มกันเพื่อทักทาย ไม่เคยโอบกอดกันอย่างรักใคร่ การทักทายของเราออกจักห่างเหินกันด้วยซ้ำ ผมไม่เข้าใจการกระทำนี้....ครั้งที่สองแล้วที่ผมลืมตาขึ้นมาเจอสิ่งที่ผมตกใจเช่นนี้

            “ทำอะไร...”

            “อยากขอบใจที่นายช่วย”

            “เอ้อ...”

            ผมไม่อยากถามอะไรมากไปกว่านี้ ต่อจากนี้ผมคงนอนไม่หลับเสียแล้ว เขาลุกขึ้นลงจากเตียงออกไปด้านนอก ผมเดินตามเขาไปเพราะผมไม่อยากอยู่ในนี้คนเดียว อย่างน้อยเราก็น่าจะปรึกษาเรื่องคดีกันต่อ

            “หนังสือพิมพ์กรอบบ่าย ความว่า ...ขโมยศพตำรวจภายใต้จมูกของสก๊อตแลนยาร์ด หากแต่โจรนั่นกับเป็นเพียงสาวม่ายสองคนที่ลากศพสามีเธอกลับไป เจ้าหน้าที่กล่าวว่าเธอมีอาการโศกเศร้าและไม่คิดว่าเธอจะทำแบบนี้ได้ ศพนั้นพวกเขาต้องตามกลับมาเพื่อทำคดีต่อ แต่ทางสก๊อตแลนยาร์ดมิได้เปิดเผยว่าคดีอะไร...เนื้อข่าวก็ประมาณนี้กับรูปวาดที่มองไม่ออกดอกว่าหน้าพวกหล่อนมีอยู่จริงไหม”

            “พวกเขาให้ข่าวเพื่อปกปิดคดี”

            “ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ถึงไม่รู้ว่าเราเป็นใครเขาก็ตามเราอย่างที่สุดแน่”     

            “ทางน้ำที่เรามาพวกเขาน่าจะตามได้ในเร็ววันนี้แหละ”

            “เขาเข้ามาที่นี่ไม่ได้หรอกจนกว่าเราจักเปิดเผยให้นำศพกลับไป” เขาก้มหน้าดูหนังสือพิมพ์อีกครั้ง แล้วหยิบดินสอมาขีดเขียนเป็นเส้นสายในหน้ากระดาษเปล่าวางอยู่ข้างๆ

            “มีอะไรหรือยอล”

            “แผนที่แม่น้ำที่เราผ่านมากในตรอกตรงข้ามกับเขตด๊อกทาวน์พอดี เร็ววันนี้จักมีการเปิดงานก่อสร้างบริเวณนั้นจากสก๊อตแลนยาร์ด...”

            “คำเตือนที่เราได้มาใช่ไหม”

            “เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ฆาตกรอยากได้ผู้ชมจำนวนหนึ่งที่จักลากตำรวจออกไปกลางน้ำ”

            “ทำยังไง”

            “เราต้องรู้ก่อนว่าพวกมันเป็นใคร ทำคนเดียวไม่ได้หรอก”

            “เรายังไม่รู้เลยว่ามันเป็นใคร”

            “มันเกี่ยวข้องกับกรมตำรวจโดนตรงแล้วล่ะ เราต้องได้ผลชันสูตรอย่างเร็วที่สดในตอนนี้”

            “แต่ฮอคยังไม่ยอมลงมือทำงานให้เรา”

            “เขาจับตาดูเราอยู่เสมอ”

            “ก็หวังว่าเขาจักเห็นภาพนี้”

            ผมก้มลงจูบปากประทับปลายจมูกเขาในแบบเดียวกันที่กับที่เขาทำไปเมื่อครู่ ดวงตากลมโตในแบบเอเชียเบิกขึ้นราวกับว่าตกใจอย่างที่สุด ผมถอยตัวออกมายิ้มมุมปากด้วยสีหน้าทะเล้น

            “...” คุณนักสืบคนเก่งเงียบไป

            ผมยักคิ้วอารมณ์ดีมองข่าวในหนังสือพิมพ์ต่อ เวลาของเราคืองานเลี้ยงคืนนี้ทุกอย่างต้องสำเร็จ เรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจก็มีหลายอย่าง แต่เริ่มจำลองแผนที่ให้เข้าสมองไว้บ้างแล้ว อย่างน้อยก็รู้เป้าหมายในสิ่งที่มันกำลังจะทำ ยอลรู้ตำแหน่งสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ผมก็คือคนต้องหยุดเรื่องนี้

            “คืนนี้ราต้องทำอะไรบ้าง”

            “ไม่มีอะไรมากหรอก ดื่มเมาก็จบ” เขาเข้ามากระซิบผม “สังเกตด้วยว่าฮอคมองอยู่”

            ผมพยักหน้า เพื่อนของผมคนนี้ชั่งสังเกตไหวพริบดีฉลาดก็เป็นที่หนึ่ง ถ้าเขาเป็นผู้หญิงผมคงไม่รอช้าที่จักขอเธอมาอยู่ข้างกายเพื่อดูแลผมตลอดไป ถึงเขาเป็นชายผู้หญิงคนนั้นคงโชคดีมากที่ได้อยู่กับเขา

            “นายมีสาวดูตัวด้วยหรือยัง” ผมถามเขาแนบชิดใบหู

            “เห๊...จู่ๆทำไมถามเรื่องนี้” เขาตอบผมเสียงเบา

            “อยากรู้สิถึงถาม อย่างนายจักพึงใจเจ้าสาวแบบไหน”

            “ฉันไม่คิดจักแต่งงานดอกสหาย อยู่ไปแบบนี้อิสระดีแล้ว”

            “อืม มันเหมาะกับนายดี”

            “นายล่ะ”

            “ยังไม่เคยคิดดอก”

            “คิดเหมือนกันแล้วถามกันทำไมเล่า ฮ่าๆๆ”

            “ก็คิดว่าจักคิดไม่ตรงกัน...”

            “...” เขาหยุดหัวเราะทันที

            ...เรายืนมองกันอยู่แบบนั้น ความยินดีที่ผมยังไม่เสียสหายทำงานไปในเร็ววันนี้คงไม่เกิดขึ้น เราคงได้ร่วมงานกันต่อไปได้อีกหลายคดีโดนที่ไม่มีร่างสาวไหนมาผูกมัด ความยินดีจากคำตอบของเขาเต็มเปรี่ยมในหัวใจผม

            “แอ่ก..แอ่ม...” เสียงของฮอค

            ในที่สุดก็ยอมออกมา เขาเดินมาจากอีกฝั่งของมุมห้องเหมือนตรงนั้นมีห้องทำงานอีกห้องหนึ่งอยู่ แน่นอนเขาไม่ได้รับรู้ว่าเราคุยอะไรกัน เพียงแต่เดาจากสิ่งที่แอบมองอยู่เท่านั้น ยอลถอยตัวออกจากผมสองสามก้าว รอยยิ้มจากใบหน้าเขาส่งให้ฮอค

            “พักผ่อนกันเพียงพอแล้วหรือ”

            “ครับ เรามาอ่านหนังสือพิมพ์นี่” ยอลตอบเขา

            “อ้อ...เห็นแล้วล่ะที่รัก พวกเธอแน่แล้ว ฉันว่ามันออกจักดีเดือดไปหน่อย แต่ก็สะใจพวกนั้นดีแท้โง่เง่านัก ฮ่าๆๆ”

            ผมเงียบไว้ถึงไม่พอใจก็ตาม ยอลหันมามองผมแล้วหันกลับไป

            “ฮอค วันนี้สั่งอาหารจากภัตคารฮอร์นบอลอีกแล้วหรือ” ยอลเปลี่ยนเรื่องมือวางที่แขนของฮอค ฮอคหันมาสนใจทันที

            “ใช่แล้ว เพื่อนเราไปกินกันบ่อยครั้ง ฉันจำได้”

            “ผมขอตัวก่อนนะ คุยกันไปเถอะ”

            “ไม่พอใจอะไรลูกชายแสนรักของฉัน พูดออกมาเถิด”

            “ไม่ใช่หรอกฮอค เขาอารมณ์ปกติดี”

            “ใช่ครับ ไม่มีอะไรหรอก”

            “แน่สิ...ว่านายไม่อยากบอกฉันดอก” เขาจ้องหน้าผมเขม่นสายตานั่นส่งมา

            ผมควรแสดงต่อ “ขอคุยส่วนตัวได้ไหมครับ”

            “เอาสิ ยินดี...”

            ยอลมองหน้าผมแล้วส่ายหน้า เขาคงมองออกว่าผมจักทำอะไรต่อไป ...เขาเดาไม่ออกหรอก ไม่มีทางเดาออกเสียด้วย ฮอคเดินนำผมไปแล้วยอลจับแขนผมไว้ก่อนที่จะเดินตามไป ผมจับมือเขาเพื่อบอกว่ามันไม่มีอะไรหรอก

            “กำลังจะทำอะไร”

            “ทำให้เรื่องจบเร็วโดยเร็วและเขายอมช่วยเรา”

            “ยังไง”

            “พูดตรงๆ”

            “มันไม่มีทางสำเร็จหรอก ขอเถอะอย่าทำแบบนั้น”

            “ไม่ทันแล้วเพื่อนเอ๋ย ต้องไปคุยกับฮอคแล้ว รออยู่นี่แหละ”

            เขามีสีหน้าไม่พอใจเมื่อผมกำลังจักทำแผนที่เขาสร้างไว้พังทลายลงมาจนหมด ผมไม่ได้สนใจเขาในตอนนี้ มุ่งหน้าเดินตามเข้าไปห้องทำงานของฮอค ถ้าผมทำสำเร็จพรุ่งนี้เขาก็เริ่มงานให้ผมทันที ยอลต้องการให้ผมช่วยเรื่องนี้และปัญหาที่ต้องเอาใจฮอคก็จบลงไปด้วยตลอดกาล

            “เชิญนั่งสิ”

            ผมนั่งลงเก้าอี้ที่อยู่ด้านหนาทำงานของเขา ฮอคในท่านั่งไขว่ขาสูงหยิบไปท์มาสูบมองผมด้วยสาตาที่คาดเดาได้ว่าผมเป็นเด็กอวดดี ใช่ตอนนี้ผมอวดดีอยู่จริงๆ

            “มีอะไรว่ามาสิ”

            “ผมอยากถามเรื่องที่คุณจักช่วย ว่ามันจะเริ่มต้นเมื่อไหร่”

            “ฉันไม่ได้บอกว่าจักช่วยดอกนะ แค่ยินดีรับไว้คิดดูก่อน”

            “เป็นเช่นนั้นผมกับยอลจักกลับไปก่อนโดยทิ้งศพนั่นไว้ที่นี่”

            “ถ้าเธอทำแบบนั้นเราก็ตัดขาดกันตลอดกาล”

            “สำหรับผมเราไม่เคยเริ่มต้นกันด้วยซ้ำ”

            “ใจเย็นก่อนเถอะ...นายไม่พอใจอะไรหรือป่าว”

            “ผมไม่ชอบความคะเขินหาความชัดเจนมิได้ในตัวคุณ”

            เขายักคิ้วสูงวางไปท์ลงบนจานรอง แล้วเท้าแขนยันคางบนโตะมองหน้าผม “นายเป็นเพียงไม่กี่คนที่กล้าพูดกับฉันแบบนี้”

            “…” ผมเลือกจะเงียบแล้วนิ่งไว้

            “เอาล่ะฉันจักยอมช่วยเหลือเรื่องนี้ แต่ทิ้งยอลไว้ที่ฉันก่อนนายจักไปไหนก็ไป”

            เป็นไปตามที่ผมคิด ...รอยยิ้มผมผุดขึ้นในใจ

            “คุณจักยื้อคนไว้ทั้งโลกใบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของผม แต่อย่า..มายุ่งกับเขา” ผมพูดด้วนสายตาที่มั่นคงแหละหนักแน่น จนผมไม่มั่นใจว่านี่คือการแสดงเสียแล้ว

            “เธอกล้าพูดหรือลูกชาย ในเมื่อเธอมิใช่คู่กายของเขา”

            “...เขาเป็นของผม” หัวใจผมเต้นโครมครามกับคำพูดนี้ ผมอยากรู้ว่าพวกต้องห้ามแบบเขาพูดจาแสดงความเป็นเจ้าของกันแบบนี้หรือป่าว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเผชิญหน้าตรงๆกับเรื่องนอกกรมตำรวจแล้วยังเป็นเรื่องกับคนนิยมชายเสียด้วย เขาจักเชื่อผมไหม

            “...เธอชั่งแตกต่างกับอาเธอร์เสียจริง ฉันไม่พรากคนรักของเธอดอกลูกชายฉันไม่เคยคิดจักแตะต้องเขาแม้แต่น้อย เพราะฉันมองไม่ออกว่าเขาเป็นในแบบเราหรือไม่ ฉันเพิ่งรู้ตอนนี้แหละว่าเขาเป็นแบบฉัน เพราะนาย”

            “ผมไม่รู้ว่าเราเป็นพวกนิยมชายแบบคุณหรือป่าวดอกฮอค แต่ผมคิดว่าถ้าเป็นกับคนอื่น ผมมั่นใจว่าผมไม่ใช่” พูดออกไปแบบนี้ผมดูดีขึ้นบ้างซักนิดไหม

            “อย่ากังวลเลยคริสลูกชายที่รัก นายคิดว่าคนนิยมชายในบ้านเมืองเรามีน้อยหนักหรือ นายพวกชนชั้นสูงนี่แหละเยอะนัก พวกเราไง เกือบวงสังคมของฉันเราปกปิดกันอย่างดี การช่วยเหลือกันในวงสังคมเหล่านี้จึงเป็นเรื่องปกติ นายมีอะไรก็บอกฉันได้ต่อจากนี้ ส่วนคนรักของนายเขาเป็นสหายฉันอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวอันใดดอก”

            ผมถือว่าการเจรจานี้จบลงด้วยดี แต่ผมก็มิได้วางใจเพราะฮอคเป็นคนเจ้าเล่ห์ผมดูออกเหมือนที่ยอลก็มองออกเหมือนกัน คบได้เพียงความสามารถเท่านั้น ยังไงสะผมก็ต้องดูเขาให้ห่างยอลไว้

            “ผมขอตัวไปหาเขาก่อน กระวนกระวายใจแย่แล้วตอนนี้”

            “เชิญ...”

            ผมเดินออกมาจากห้อง ยอลนั่งรอผมอยู่ด้านหน้า เขาเดินมาหาผมด้วยอาการสงบและไม่ได้เอ่ยถามอะไร ผมวางมือกระชับไหล่เขาเข้ามาใกล้ๆ เขายิ้มกลับมาอย่างบางเบา ผมไม่รู้หรอกว่าเขาคิดว่าผมทำอะไรลงไป แต่ผมไม่ยอมบอกความจริงแน่ในเรื่องที่คุยถึงเขาถามก็ไม่มีทาง

            เราเดินออกมาสวนด้านนอกที่จัดสไตล์สองข้างเท่ากันทางเดินทองไปสู่รูปปั้นหินชายเปลือยถือคนโถน้ำไหลลงมาสู่ดอกคัตเตอร์ต้นเล็กตรงกลางพอดี ยอลคุกเข่าลงบ้างๆดอกไม้นั่นแล้วใช้นิ้วเขี่ยเล่นเบาๆ ผมนั่งลงที่นั่งหินที่โอบรอบขนาบอยู่ด้านข้างรูปปั้นไม่ห่างจากเขา แสงแดดช่วงบ่ายลอดลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่ขนาบข้างไม่ได้ทำให้เราสองคนถูกเผา

            “คดีนี้เราต้องเดินหน้าต่อ เราหยุดอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอกให้คาร์กไปสืบตามทางน้ำที่เราผ่านมาเอลเว่นน่าจะช่วยคาร์กได้ขอยืมเขาหน่อยได้ไหม”

            “เอาสิเขาไว้ใจได้ เราอยู่ที่นี่กี่วันเหรอ”

            “เมื่อได้ผลชันสูตรที่แท้จริง เหตุผลที่เราต้องมาที่นี่เพราะกรมแพทย์ปกปิดผลชันสูตรทั้งหมดไม่ได้กล่าวถึงรอยรัดรอบขาและสภาพผิวที่แท้จริงของศพ การจมน้ำตายอาจไม่สาเหตุ พวกเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าหมอเป็นฆาตกรเราก็ต้องห่างออกมาจากหมอ”

            “หมายความว่าไม่ใช่ครูที่นายตามหาอยู่”

            “เหตุผลที่เราตามหาเขาเพราะจดหมายกระดาษที่ใช้มันบ่งบอกแบบนั้นก็จริงเขาอาจเป็นแค่คนช่วยเหลือเท่านั้น ความรู้ของครูไม่มากพอจักทำแบบนี้ดอก เมสันตามสืบเรื่องของหมอที่เกี่ยวข้องอยู่เราจักได้รายชื่อนั้นอีกสองสามวันนี้เมื่อเขาตามมาที่นี่ เหตุการณ์กำลังจะเริ่มเราต้องหยุดเขาให้ได้ก่อน”

            “วันที่แน่นอนตามข่าวคืออีกสองสัปดาห์หน้าเรามีเวลาไม่มากแล้ว”

            “นายจัดการเรื่องของฮอคไปแล้วฉันมั่นใจตามนั้น ออกมาจากห้องฉันพอดูสีหน้าของเพื่อนฉันออก” เขายิ้มให้ผม ...ไม่สิ เรายิ้มให้กันและกัน

            “เรื่องของฮอค...”ในที่สุดผมเริ่มพูดขึ้นก่อ “ห่างออกมาบ้างก็ดีนะ”

            “อาจได้ในบางเรื่อง”

            “ในทุกเรื่อง”

            “เพราะอะไร”

            “เพราะนายมีฉันแล้ว”

            “มันก็แค่...”

            “จะบอกเขาหลังจบงานหรือ”

            “ป่าว”

            “ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่บอก”

            “เขาเป็นเพื่อนที่ดี เขาไม่ได้จักทำอะไรฉันดอก” ยอลรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วทำไมถึงทำกับว่าไม่รับรู้
            “ไว้ใจเขามากก็ตามใจเถอะ!”

            ผมลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินหนี เป็นอย่างที่ผมคิดเขาจับลุกตามมาจับแขนผมไว้ พอดีกับที่ฮอคมองออกมานอกหน้าต่างด้านบนพอดี ผมจึงหันหลังกลับไปกอดอีกคนมาแนบอก ก่อนที่เขาจักสงสัยว่าผมกอดเขาทำไมผมต้องบอกเขาก่อน

            “ฮอค...”ผมกระซิบข้างหูเขาแค่นั้น เขาก็กอดผมตอบกลับมา

            “อย่าโกรธเคืองกันนะ ขอบคุณมากที่ห่วงใยกันอีกครั้ง”

            “ฉันรู้ว่านายเก่งกว่าฉันเสียอีก แต่ฉันก็ห่วงนาย” ผมพูดจากความรู้สึกอย่างจริงจัง ไม่ว่าเขาจะคิดว่าผมแสดงมันอยู่

            “อื้ม...”

            “นายน้อยขอรับ!” คาร์กเดินตรงเข้ามาหาพวกเรา ผมกับยอลจึงผละออกจากกันแล้วมองไปคนละด้าน

            “ว่าไงครับคาร์ก”

            “ผมพักผ่อนเพียงพอแล้ว มีงานอะไรให้ผมช่วยอีกหรือไม่ครับ บอกมาเถิด” คาร์กมายืนทับที่ผมยืนอยู่ทำให้ผมต้องถอนออกจากพวกเขา คาร์กมองผมอีกครั้งด้วยสายตาโกรธเคืองราวกับว่าพ่อหวงลูกสาวของเขา

            “เราไปคุยเรื่องนี้ต่อข้างในเถอะคาร์ก” ยอลโอบไหล่เขาเดินเข้าไปข้างใน เขาส่งสายตามาให้ผม ผมยืนยิ้มให้จนเขาทั้งคู่จนลับสายตาจมหายไปข้างในแล้ว

            ผมเงยหน้ามองฮอคที่มองผมอยู่ เขาขันหัวเราะออกมาจงใจเย้ยใส่ผมที่ต้องปกปิดแบบเมื่อครู่นั้น ...ถึงมันเป็นแค่การแสดงแต่ผมก็รู้สึกโกรธเคืองเขาอยู่มากโขเลยทีเดียว

           

 

           

            ค่ำวันนี้...คฤหาสน์ของฮอคมีงานเลี้ยงภายใน คนสนิทของพวกเขาที่เป็นพวกนิยมเพศทั้งสิ้น มองแขกใหม่แบบผมราวกับว่าสิ่งมหัศจรรย์ ยอลเดินออกมาพร้อมกับฮอคที่ทักทายทุกคน ฮอคคุ้นเคยกับทุกคนเป็นอย่างดีอยู่แล้วทั้งกอดและจูบทักทายอย่างเพลิดเพลิน ยอลหลีกออกมาหาผม...คิดว่าผมจักไม่มีความหมายในงานนี้เสียแล้ว

            “เราต้องทักทายกันไหม” เขาถามผม

            “เอาสิ...เราไม่เคยนะ”

            เราเลื่อนหน้าเข้าหากันช้าๆ เอียงหน้าให้รับกันเพื่อที่จะ...ประทับริมผีปาก แต่!

            เปร้ง!!! เปร้ง!!! เปร้ง!!! เสียงเคาะแก้วไวน์ของฮอคดังขึ้น เราทั้งคู่จึงหยุดและหันไปมองเขา

            “สวัสดีทุกคน...ยินดีมากวันนี้ที่เรามาร่วมสังสรรค์ด้วยกัน ในจุดยืนที่เราทุกคนยังมั่นคงยินดีจักหยัดยืนในแบบเรา ช่วยเหลือเรา และพวกพ้องของเราเพียงเท่านั้น” เขาเหล่ตามองผม “ฉันอยากให้เราพบเจอกันบ่อยครั้งเท่าที่เราจักทำได้ มีสิ่งใดในวงสังคมของเราเราพร้อมยื่นมือช่วยเหลือซึ่งกันและกันเสมอตามความสามารถ ...เพียงแต่ขอย้ำว่า ภายในวงสังคมของเรา ขอให้สนุกสนานกับการสังสรรค์ในครั้งนี้!” ฮอคพูดจบ ทุกคนก็ยกแก้วให้เขาและดื่มไวน์รสเลิศลงคอเพื่อให้เกียติ เขาเป็นคนที่น่านับถือคนหนึ่งในเรื่องนี้ เขามีจุดยืนที่เด่นชัดและใจกว้าง

            ผมรู้แล้วว่าทำไมยอลถึงคบเขาเป็นสหาย ผมเคยเห็นเหตุการณ์นี้มาครั้งหนึ่งแล้วในบาร์เหล้าเล็กๆที่ยอลไปดื่ม ฮอคก็ดูเป็นคนคล้ายกัน

            “พวกเขาไม่ได้มีความสุขในแบบที่เห็นหรอกนะ เป็นงานเลี้ยงเพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกันเท่านั้น” ยอลกระซิบบอกผม

            “หมายความว่าไง”

            “บางคู่ในกลุ่มพวกเขาถึงจักเจอรักแท้ แต่ก็มีการฆ่าตัวตายเพื่อจากกัน แรงบีบรัดในเพศต้องห้ามนั้นสูงเกินกว่าจักพากันข้ามได้” แววตาของเขาโศกเศร้าราวกับพูดเรื่องของตนเอง

            “มันเป็นชีวิตที่พวกเขาเลือกแล้ว อย่าปวดใจเลย”

            “คริส”

            “หืม?”

            “นายดูเปิดใจให้พวกเขามากขึ้นนะ”

            “ฉันไม่เคยดูถูกคนอื่นดอกเพื่อน ถ้านายรู้จักฉันมากกว่านี้นายจักชอบอกชอบใจฉัน”

            “ฮ่าๆๆๆ ตอนนี้ฉันก็ชอบนายมากเลยทีเดียว”

            “...” หัวใจผมเต้นแรงกับคำพูดของเพื่อนเช่นนี้ได้อย่างไร

            “ดื่มกันเถอะ”

            “ดื่ม!”

            เราชนแก้วกันยืนคุยกันต่ออย่างออกรสออกชาติ สิ่งที่ผมสัมผัสได้อย่างหนึ่งว่าตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมาเขาเป็นคนคิดอะไรคนเดียวหนักพอดู ผมหันไปมองฮอคบ้างบางครั้ง คงเพราะผมยังยืนอยู่ใกล้ยอลเขาถึงยังไม่เข้ามา แต่ว่าการยืนมองผู้ชายทั้งหมดในงานกอดจูบกันก็ทำให้ผมขนลุกขนชันทั้งตัว นี่เป็นการยัดเหยียดสิ่งใหม่เข้ามาในชีวิตที่ผมตั้งตัวแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว

            “นายยังดีอยู่หรือป่าวคริส”

            “ยังอยู่ได้อีกพักใหญ่” ผมกระดกเหล้าเข้าไปอีกแก้ว ตอนนี้ไวน์คงช่วยคลายบรรยากาศให้ผมไม่ได้แล้ว

           

            เปร้ง!!! “เต้นรำกันเถอะ!” เมื่อฮอคกล่าวจบทุกคนก็เดินออกไปเป็นคู่ๆ ผมมองหน้ายอลที่เอาแต่ขำใส่ ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มไม่ขำเสียแล้ว เต้นรำแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ผมอยากทำเลย อย่านะฮอค! อย่าเล็งมาที่ผม ...

            “ลูกชายของฉัน...” เสียงเขาส่งมาก่อนที่ตัวจักเดินมาถึงผม

            “...”

            “นายสามารถทำตามใจในบรรยากาศนี้ ไม่ลิ้มลองมันหน่อยหรือ” เขาพูดเชิญชวน

            “ซักพักเถิด...”

            “ยอลเล่าสหาย เต้นรำกับฉันก่อนไหม ลูกชายฉันคงอีกนานจักพร้อม”

            “เอาสิ ขอตัวแป๊บนะคริส”

            มันหยามกันอย่างชัดเจน ผมหรือจักยอม...

            “ขอตัวนะครับ!”

            ผมคว้าแขนคนของผมเดินเข้าไปกลางฟอลที่ลายล้อมไปด้วยคู่รักชายที่แสดงออกอย่างท่วมท้น ผมไม่รู้จักทำอะไรต่อไปได้แต่ยืนนิ่งไว้ แต่เขากลับจับมือผมกุมไว้แล้วค่อยเดินตามจังหวะ ...

            “ขอโทษทีนะที่ทำอะไรอย่างนี้ อาจทำให้นายลำบากใจ เพลงเดียวเราก็กลับเข้าไปกันเถิด”

            “อย่าคิดอะไรเลยสหาย เรามาเสพสุขต่อจากนี้เถิดทำอย่างที่นายอยากทำ ฉันไม่คิดอะไรดอก”

            “นายชอบเต้นรำหรือ”

            “ใช่ที่สุด นายไม่ชอบหรือ”

            “เริ่มชอบแล้วล่ะ”

            เราทั้งคู่เริ่มขยับตามเพลงช้า  เราไม่ได้โอบกอดกันอย่างหญิงชายเต้นรำ และกอดจูบกันอย่างที่คู่เต้นรำรอบตัวเราทำอยู่ เราเพียงแค่ยื่นมือมากุมกันไว้โยกย้ายร่างกายตามจังหวะเพลง สหายของผมดูสนุกสนานกับมันเสียเหลือเกิน ...ความอุ่นใจที่มีเขาอยู่ตรงนี้ก็เพียงพอแล้ว

            

 

 

 

 

           งานเลี้ยงเลิกแล้วสหายของผมดื่มหนักเกินไปหลับผมสภาพจึงเป็นดั่งตอนนี้หน้าของเขาแนบมาที่หน้าของผมแขนสองข้างโอบรอบคอผมไว้หลวมๆผมกระชับขาเข้าไว้ให้มั่นแนบกับแผ่นหลังตัวเองไว้ ใช้แรงทั้งหมดที่มีตอนนี้เพื่อช่วยเขา เพราะผมก็ดื่มหนักไปเหมือนกัน

            เมื่อกลับมาถึงห้องผมทิ้งตัวเขาลงที่เตียงอย่างเบาแรงจักได้ไม่กวนเขาให้ตื่นขึ้น เมาแล้วหลับสนิทไปเลยแบบนี้ผมเจอมาหลายคนแล้ว แต่เขาเป็นคนแรกที่ผมใช้แรงตัวเองแบกขึ้นหลัง เสื้อผ้าของเขาไม่ได้เหนียวเหนอะไปด้วยเหล้าคงมิต้องเปลี่ยนมันออกดอก แค่ปลดกระดุมแล้วเช็ดลำคอให้รู้สึกสบายขึ้นก็เพียงพอ

            เมื่อทำทุกอย่างเสร็จผมก็ชำระร่างกายตัวเองเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เป็นชุดนอนผ้าแพรสบายๆที่พ่อบ้านจัดไว้ให้ แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆเขา วันนี้เราทำดีที่สุดแล้ว เก็บแรงเอาไว้ทำงานต่อในวันพรุ่งนี้กันเถอะ ...ขอบคุณมากนะสหาย

            ผมยื้อตัวขึ้นโน้มตัวคิดจะจูบริมผีปากลงที่ปลายจมูกของเขา ...แต่ชะงักไว้เสียก่อนผมแตะแก้มเขาเพื่อตรวจดูว่าเขายังมีสติลืมตาขึ้นมามองอีกหรือไม่ เมื่อแน่แล้วว่าเขาหลับใหลไปผมก็กดริมผีปากลงไปแนบชิด ผมไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลให้ตัวเองว่าทำไมถึงทำอะไรแบบนี้ดอก แค่อยากทำผมก็จักทำมัน

           

 

            เช้าอีกวันในคฤหาสน์ของฮอค

            เรานั่งคู่นั่งทานอาหารเช้าพร้อมเจ้าของบ้าน ฮอคมีท่าที่แปลกไปเล็กน้อยวันนี้เขาใส่แว่นและดูเคร่งขรึมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บทสนทนาระหว่างเราก็ไม่มี เมื่อทานเสร็จเขาเรียกผมและคริสมาที่ห้องทำงาน นี่เป็นการดีสำหรับเราแล้วเราจักเริ่มทำงานให้เราเสียที เพื่อนของผมคนนี้เก่งเสียจริง ผมกระชับมือเขาเพื่อขอบคุณเมื่อฮอคเดินไปไกลแล้ว

            “ฮอคไม่ให้ใครกวนเวลางานหรอก เราต้องออกไปตรวจแม่น้ำกันวันนี้”

            “เขาไม่ว่าอะไรหรือ”

            “ไม่ว่าหรอก ดึกดื่นของค่ำนี้เราก็กลับมานอนที่นี่ตามเดิม”

            “อย่างนั้นก็ไปกันเถอะเราเสียเวลามามากแล้ว”

            “วันเดียวเองดอก” ผมขวางสายตาใส่เขาที่บ่นงุ่มง่ามราวกับอายุล่วงเลยไปไกลเสียเหลือเกิน

            เราใช้เรือพายรำเดิมออกเรือกันมาเพียงลำพัง คาร์กกับเอลเว่นทำงานให้ผมอยู่ คริสอาสาแจวเรือซึ่งผมก็วางใจให้เขาทำ ถ้าไม่ไหวผมก็จักทำมันเองอยู่ดี เราต้องใช้เวลาเยอะอยู่ถึงจะกลับไปต้นน้ำใหญ่ คนของฮอคเตรียมอาหารใส่ห่อให้เราเรียบร้อยแล้ว

            “เป็นห่วงคดีอื่นบ้างหรือป่าว” ครู่ใหญ่ที่เราออกมาแล้วผมจึงเอ่ยถาม

            “ก็มีอีกหลายคดีที่ยังกังวลอยู่ แต่เมื่องานนี้สำคัญกว่าก็ต้องทำก่อน”

            “เรากลับไปถามไถ่เรื่องคดีที่สำนักงานใหญ่ได้ ไปกันไหม”

            “อย่ากังวลเลยฉันไปดูเอกสารที่บ้านก็ได้เมื่อเรากลับจากที่นี่ เราจัดการกับงานนี้ให้เรียบร้อยเถิด”

            “ตกลงตามนี้ ฉันจักไม่เอ่ยถามนายอีก”

            “เส้นทางที่ตัดเปิดงานตามที่จดหมายบอกคือทางที่เรากลับไปแล้วจุดตัดอยู่ตรงไหนหรือ” คริสเอ่ยถามผมเสียอ่อนลง

            “จากเส้นที่เราตัดออกมาที่นี่มันชี้ขึ้นทิศเหนือของลอนดอนพอดีจากทางใต้ชี้ขึ้นไปเป็นจุดตัดแม่น้ำเทมส์ก็ไม่ต่างริบบิ้นเปิดงาน ตรงกับงานที่สก๊อตแลนยาร์ดจะจัดขึ้นถ้าเราไม่หยุดงานนี้ก็ต้องหยุดสิ่งที่จะเกิด”

            “เราสั่งหยุดงานที่กำลังจะเกิดขึ้นได้นี่ยอล”

            “แต่เราจักไม่ได้ตัวฆาตกรอีกเลย เขาอยู่ไม่ไกลจากตัวเราดอกและรู้ข่าวในกรมตำรวจดีเพราะเข้านอกออกในเสียด้วย น่าจักเป็นหมอซักคนที่รู้ว่าเราขโมยศพออกมาแล้ว เขากำลังกลัวเขาต้องงุ่มง่ามออกมาเตรียมงานเป็นแน่ เชื่อเถอะสหายเราอาจจะเจอเขาในเร็ววันนี้”

            “เราต้องเจอเขาให้ได้ก่อนที่เขาจักก่อเหตุขึ้นอีก เมสันจักมาเจอได้เมื่อไหร่”

            “คาร์กบอกวันพรุ่งนี้ วันนี้เราขับเรือไปเรื่อยๆก่อนเถิด”

            “ขอรับนายน้อย”

            เขาโค้งคับนับให้ผมตัวอ่อนแล้วขับเรือต่ออย่างอารมณ์ดี ผมเดินไปที่หัวเรือเพื่อดูกระแสน้ำด้านล่างเรือแล้วหย่อนมือลงไปวัดอุณหภูมิน้ำของวันนี้ ไม่มีอะไรน่นอนผมอาจจะต้องดำผุดดำว่ายมันลงไปอีกหลายรอบเมื่อเราถึงตรอกด๊อกทาวน์

            วันนี้เป็นวันที่เปิดการค้าในเขตนี้เรือสันจรผ่านไปมามากมาย พวกเขาทักทายให้เราเมื่อขับผ่าน ผมรับเหล้าที่เขายื่นมาให้อยู่หลายขวด ต่างจากคนขับเรือของผมเขาเพียงยิ้มให้ผมเท่านั้น

            “ดื่มไหมสหาย”

            “ตามสบายเถิด...อย่าเมามายเล่า”

            “เห็นจะไม่มีเรื่องแบบนั้นดอก ฮ่าๆๆๆ”

            “ยอล”

            “ว่าไง”

            “เมื่อคืนฉันเมามาก นายพาฉันกลับมาที่ห้องเองหรือ”

            “...อื้มใช่แล้ว”

            “ฉันไม่ได้สติ...แล้วเป็นแน่”

            “ฉันแบกนายกลับห้องเอง ไม่ต้องเกรงใจดอกสหายสบายมาก”

            “...” เขาเงียบไปราวช่วงอึดหายใจใหญ่หนึ่งครั้ง “ฉันขอบใจนายมาก”

            “ด้วยความยินดี”

            “เปลี่ยนกันบ้างไหมเพื่อน นายแจวมานานแล้ว”

            “ไม่เป็นไรดอก นั่งเฉยๆเถอะ”

            เขาพูดแบบนั้นผมก็มานั่งที่เดิม หยิบหนังสือพิมพ์ออกมาตรวจและอ่านหนังสือที่หยิบติดมือมาต่ออีกสองสามเล่ม เรื่อยไปจนนี่ก็เกือบเย็นแล้วเราทั้งคู่ก็มาถึงที่หมาย สายน้ำในเขตด๊อกทาวน์อยู่เบื้องหน้า คริสค่อยๆแจวเรือเข้ามาเรื่อยๆ ผมบอกให้เขาช้าลง เราทั้งคู่ต่างทำตัวเหมือนชาวบ้านและมองไปรอบๆ เรือสันจรตอนเย็นเป็นมีเยอะก็จริงแต่ช่วงค่ำก็คงเหมือนกับวันที่เรานำศพผ่านมาหาเรือได้น้อยลำ

            บริเวณรอบๆวันนี้เงียบสนิทเราค่อยๆลากเรือผ่านมาแนวขวางขนานกับแม่น้ำที่มีร้านอาหารบาร์เหล้าอยู่ปะปรายผสมกับตึกที่เป็นบ้านเรือ ท่อน้ำใต้สะพานที่พอให้เรือลอดได้สามช่องขวางทางเดือน ด้านข้างมีท่อระบายน้ำล้อมรอบตลอดแนวตึกที่ติดกับน้ำ นี่คือที่ให้ผมสำรวจ

            “คริสเทียบท่าไว้แถวนี้แหละ เราต้องดำลงใต้เรือแล้วสำรวจภายในท่อระบายน้ำรอบพื้นที่ตรอกนี้”

            “นายรู้แผนผังของเส้นทางท่อระบายน้ำหรือ”

            “แค่รู้บ้างบางเส้น แต่เราจักหาอะไรมากกว่าสำรวจเส้นทาง”

            “คนร้ายคงยังไม่ลงมือหรอก เราจักเจออะไร...”

            จ๊วม!!!...

            ผมโดดลงมาในแม่น้ำเรียบร้อยแล้วเมื่อฟังคำหลังจบ ผิวน้ำเย็นเฉียบก็จริงแต่พอลงมาด้านล่างพ้นผิวน้ำราวสองช่วงตัวแล้วน้ำก็มีอุณหภูมิอุ่นขึ้น ฝาท่อด้านล่างเป็นลูกกรงขนาดใหญ่ขวางอยู่ผมแกะมันออกเพื่อหาช่องเข้าไป ท่อมีทางขึ้นเพื่อเดินเข้าด้านในอย่างที่ผมคิดไว้ ผมปีนขึ้นตามบันไดหินที่มีอยู่ไม่กี่ขั้นตัวก็พ้นจากน้ำสามารถเดินภายในทางหินโสโครกของท่องได้ตามปกติ ในนี้มีน้ำไหลออกมาเรื่อยๆแต่ก็ไม่ได้พ้นเกินช่วงสวมรองเท้าของผม

            “ยอล!”

            ผมหันกลับไปมองคริสที่ตะโกนเรียกผมจากด้านหลัง เขาเปียกปอนจากการดำน้ำที่ทำเหมือนผมเมื่อครู่ ...เขาตามผมลงมา

            “ตามมาสิ”

            ผมบอกแค่นั้นก็เริ่มสำรวจต่อ แต่มือของเขาคว้าแขนผมไว้ ผมจึงต้องหยุดเดิน

            “เราคุยกันให้จบก่อนซักครั้งจะได้ไหม”

            “ทำงานไปด้วยคุยไปด้วยก็รู้เองนั่นแหละ”

            “แค่พูดให้จบซักเรื่อง...” เสียงเขาอ่อนใจกับผมเกินที่ผมจักมองข้ามรู้สึกนี้ได้

            “เรามาหาคนแนวทางเดินและช่องทางตัดผ่านในท่อนี้”

            “ชั่งเถอะ”

            อ้าว ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ไปได้เล่า เมื่อผมอยากบอกให้เขาฟังเรื่องราวงานของเราแล้ว ยังพูดไม่จบเขาก็เดินนำผมไปเสียแล้ว ...

 

 

 

 

 

 

 

bottom of page