top of page

กฎข้อที่ 9 การหักเห
 

            บรรยากาศห้องดูท่าจะเงียบสงบมาสองสามสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่นายน้อยของตระกูลใหญ่คึกอยากสมัครงานร้าน เบเกอรี่ตามคำแนะนำของพี่พนักงานในร้านกาแฟที่พวกเราไปทำงานพาร์ทไทม์ด้วยกัน ไม่คิดว่าหมอนี่จะเอาจริง บอกตามตรงผมไม่คิดว่าเขาจะได้งานนี้หรอก เพราะเขาหยิบจับอะไรไม่เป็นเลยเกี่ยวกับงานระเอียดอ่อนและยิ่งพวกขนมหวาน ไปกันใหญ่ แต่เขาก็ได้งานนี้ เพราะเจ้าของร้านบอกให้เขารอขายหน้าร้าน ฮ่าๆๆๆ ผมเดาออกเลย หน้าตาอย่างเดียวสินะ หล่อก็รอดแล้ว โลกใบนี้
 

            แต่เรื่องที่ทำให้ผมกังวลมากกว่านั้นคือ เควิน หายไปไหนตั้งแต่เจอกันครั้งก่อน เขาก็หายไปเลย นี่เป็นเรื่องแปลก ไม่ว่าจะยังไงเขาควรจะติดต่อผมบ้างสิ ไม่มีความละเอียดอ่อนเลยหรือไงหมอนั่น ฟู่…คิดแล้วก็ยิ่งเซ็งไปกันใหญ่
 

            ผมยังมีงานต้องทำอีกเยอะเลย วันนี้ก่อนอื่น ต้องเอาขยะลงไปทิ้ง แล้วกดเครื่องซักผ้าไว้ ต้องซักให้นายน้อยด้วยสินะ เขาไปทำงานแล้วนิ -_-;
 

            หอพักวันนี้เงียบจริงๆ คนหายไปไหนกันหมด จริงๆแล้วถึงหอพักผมจะอยู่ในเขตนักเรียนนักศึกษา แต่ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นพนักงานรายได้ปานกลางมากกว่า พวกเขาคงไปทำงานกันหมดแล้ว นี่ก็สายแล้วตามเวลาเข้างาน ผมเลยสามารถใช้แฟชั่นส่วนตัวลงมาข้างล่างได้ตามใจชอบ ฮ่าๆๆๆ ไม่ใช่ว่าผมจะแต่งตัวประหลาดแบบอี๋ฟานนะ ผมแค่ใส่อะไรสบายๆ เสื้อยืดคอกลมตัวโคร่ง กางเกงยีนส์ขาดๆแล้วก็รองเท้าแตะแสนรักของผม
 

            อ่า …ตรงข้ามมีร้านไอติมแท่งนี่นา หมอนั่นชอบนี่ ซื้อเก็บไว้ให้ดีกว่า …
 

            “ขอโทษครับ เอ่อ คุณปาร์ค” ผมหันไปมองตามเสียง

            “คุณคือ”

            เขาคือคนที่อยู่กับเควิน ผมไม่รู้สถานะที่ชัดเจนว่าเพื่อนหรือลูกน้อง น่าจะทั้งสองอย่าง

            “ครับ มาหาผมมีอะไรหรือป่าวครับ”

            “ครับ คือว่ามีคนต้องการพบคุณครับ ขอเชิญไปกับผมได้ไหมครับ”

            “พูดตามสบายดีกว่านะครับ ไปได้ครับ เรียกผมว่าชานยอลดีกว่านะ” ผมยิ้มให้เขา

            “ผมอีริคครับ” เขายิ้มตอบผม
 

            อีริคคงมารับผมไปเจอเควินแน่นอน งั้นผมก็ไม่ต้องเปลี่ยนชุดหรืออะไรให้มากมายหรอกไปแบบนี้แหละ -_-;
 

            “เอ่อ…คุณชานยอลครับ ผมแวะห้องเสื้อให้คุณเปลี่ยนชุดก่อนดีไหมครับ”

            “ไม่ต้องหรอกครับ แบบนี้แหละเซอร์ไพรส์ดี ^^;”
 

            เขามองมาเหมือนอยากให้ผมเปลี่ยนใจ ผมพยักหน้าให้เขาขับรถไปต่อ ไปเจอนายเขาผมไม่จำเป็นต้องใส่ชุดดูดีมากมายหรอก หมอนั่นเห็นผมเกือบทุกสภาพแล้ว รถเราขับเข้ามาในโรงแรมหรูระดับที่แมลงสาบตัวเล็กไม่กล้าเข้ามาแอบเอาขนมไปกินเลยทีเดียว เมื่อผมเดินเข้ามาพนักงานต้องรับมองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า อีริคเปิดประตูให้ผมแล้วหยุดรอคำนับให้ ท่าทางการแสดงของเขาทำให้ผมเข้าไปข้างในอย่างสะดวก ขอบคุณมากจริงๆ
 

            ชั้นบนสุดของที่นี่เป็นชั้นของผู้บริหาร โรงแรมนี้เพิ่งโดนเทคโอเวอร์ได้ไม่นาน ผมรู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของใหม่ตอนนี้ แล้วให้ผมมาที่นี่ทำไม?
 

            “เชิญครับ”
 

            ผมเดินเข้าไปในห้องสูทหรู ตกแต่งบ่งบอกฐานะเจ้าของได้ดี ขนเฟอร์ราคาแพงกว่าไอติมล้านแท่งที่ผมกินเมื่อเช้าปูลาดลงมาจากโซฟาบุนวมตัวใหญ่ที่ไม่ได้คำนวณราคาต่อจากนี้  ห้องนี้เป็นของใคร คงไม่ใช่เควินหรอกนะ รสนิยมเขาไม่ได้บอกว่าเขาเบี่ยงเบนมาด้านนี้ -_-;
 

            “ไม่เจอกันนานเลยนะ”
 

            เสียงนั้นทำให้ตากลมโตของผมเบิกตากว้างขึ้น คนที่ผมหลีกเลี่ยงจะเจออยู่ตรงหน้าผมแล้ว …
 

            “สวัสดีครับ ขอต้อนรับสู่เกาหลี สาธารณรัฐที่ไม่ประชาธิปไตย” ผมก้มหัวให้ต่ำที่สุดไม่อยากมองหน้าเธอ จะให้ผมทำไงล่ะ 10 ปีก่อนครั้งล่าสุดที่ได้พบกัน ผมก็สภาพไม่ต่างจากตอนนี้เลย วันนั้นฝนตกผมกลับจากโรงเรียนด้วยรถเมล์ โคลนเปื้อนเต็มตัวผม แต่ครั้งก่อนเราเจอกันที่บ้านของผม

            “คริคริ เธอเหมือนเดิมจังเลยนะ สภาพไม่เคยเปลี่ยนไปเลย”

            นั่นไง แม่ลูกไม่แตกต่างกันเลยจริงๆ ผมพลาดสะแล้ว ฮ่าๆๆๆ

            “ลูกชายคนเดียวทำให้เดินทางมาถึงเกาหลีเลยเหรอครับ”

            “ไปนั่งคุยกันเถอะ” เธอจับมือผม มือเธอสั่น ผมประครองแขนเธอไว้

           

            เรานั่งคุยกันที่โต๊ะน้ำชาทรงกลมเล็กๆ วิวด้านนอกสามารถมองได้รอบกรุงโซล

            “เธอคงรู้เรื่องหมดแล้ว”

            “ครับ”

            “ชั้นอยากให้เธอช่วยปิดเป็นความลับเรื่องของเควินไว้” เธอพูดพร้อมเอื้อมมือมาจับมือผม

            “เพราะอะไรครับ”

            “พ่อของพวกเราไม่ได้จากไปแบบที่อี๋ฟานรับรู้หรอก มรดกต่างๆไม่เคยที มันเป็นสิ่งที่ชั้นหามาเอง ถ้าจะเสียทุกอย่างไปชั้นยอม แต่ชั้นจะเสียเขาทั้งสองคนไปให้คนที่ไม่รับผิดชอบแบบนั้นไม่ได้ อุบัติเหตุตอนเด็กมันทำให้เขาคิดว่าเควินจากเราไปแล้ว เขาถึงยอมปล่อยมือเรื่องลูกชายและการแบ่งมรดกจากชั้น คนเป็นแม่ทนไม่ไหวหรอกนะ ถ้าเขาจะเอาลูกมาเป็นข้ออ้างเอาทุกอย่างไป ชั้นยอมได้ แต่เขาไม่มืทางเอาเควินกลับมาให้ชั้น มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จน…” เธอร้องไห้
 

            สิ่งที่ผมรับรู้ตอนนี้ทำให้ร่างกายผมชาไปหมด ผู้หญิงวัยกลางคนแล้วตรงหน้าผมเธอแบกรับอะไรไว้มากมายเหลือเกิน ผมเข้าใจทันที ไม่ใช่เรื่องของธุรกิจสินะ ผมลุกจากเก้าอี้ตัวเองไปกอดเธอไว้ กอดเหมือนที่ผมกอดแม่ของผม
 

            “ครับ ผมสัญญา ผมจะไม่พูด”

            ผมไม่อยากเห็นเธอโศกเศร้าเลย มันไม่เหมาะกับเธอที่ผมรู้จัก … 

            “เควินไม่อยู่เหรอครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง

            “เขาอยู่ที่ห้อง”

            “ครับ”ผมพยักหน้ารับรู้ ทำไมเขาไม่มาเจอผมบ้างนะ เฮ้อ…

            “ไปหาเขาสิ เขาอยากเจอชานยอลมากนะลูก” -[]-;ศัพท์ใหม่ที่เธอเรียกผม ผมแทบกระอักเลือด

            “ไม่ดีกว่าครับ ผมอยากกลับเลย”

            “ไม่ไปดูเขาหน่อยล่ะ เขาบาดเจ็บอยู่นะ”

            “อะไรนะครับ” ใจผมเต้นแรง “เขาเป็นอะไรครับ เจ็บมากไหม แล้วทำไมถึงเจ็บได้ล่ะครับ”

            “ไม่เป็นอะไรมากหรอก เพราะงานที่ท่าเรือน่ะ”

            “ผมขอลงไปดูเขาเลยได้ไหมครับ” ผมพยายามทำตัวให้ปกติที่สุด

            “ไปสิ” เธอบีบไหล่ผมเบาๆ “อีรีคช่วยพาไปที”

           

 

 

            ///

            ชั้นมาเกาหลีเพราะเหตุผลเดียว ลูกชายทั้งสองของชั้น ตั้งแต่วันที่คนน้องหนีออกจากบ้าน คนพี่ก็ตามมาเกาหลีทันที ไม่รู้ว่านี่เป็นโชคชะตาหรือว่าความบังเอิญเท่านั้น เขาทั้งสองมาเจอเด็กคนหนึ่งที่ชั้นรักไม่ต่างจากลูกชายของตัวเองเลย คนน้องได้เข้าไปใช้ชีวิตร่วมกัน ส่วนคนพี่ก็ดูกะวนกะวายเมื่อพูดถึง ตาถึงเหมือนกันนะลูกชายชั้น …แต่เด็กคนนั้น หลังจากคุยกันชั้นก็รู้ว่าเขาเลือกคนพี่ แล้วอี๋ฟานล่ะ จะเป็นยังไงนะลูก

           

 


 

            ///

            อีริคพาผมเข้ามาในห้องที่บรรยากาศแตกต่างกับห้องเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง ห้องที่ของทุกอย่างคุมโทนดำสนิท แต่ความสนใจของผมไม่ได้อยู่ที่บรรยากาศรอบตัวแล้วตอนนี้ เขาเท่านั้นที่ผมอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บมากหรือป่าว
 

            ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของเขา เขานั่งเอนหลังพิงหมอนใบสูง มองมาที่ผม เฮ้อ …ไม่เป็นอะไรมากสินะ
 

            “มานั่งนี่สิ”

            “อืม”
 

            ผมนั่งลงบนเตียงใกล้ๆ มองดูใบหน้าหล่อเหลาของเขาบอบช้ำหลายจุด ปากมีรอยแตกตรงมุมเหมือนกับว่าเลือดยังไม่จากหายไปไหน มือผมค่อยๆปลดกระดุมเสื้อเขา เปิดออกดูด้านในว่าเจ็บตรงไหนอีกหรือป่าว ร่างกายเขาแค่บอบช้ำเท่านั้น ค่อยยังชั่วหน่อย
 

            “เป็นห่วงมากไหม”

            ผมพยักหน้า

            “ยอล…”

            ชื่อผมที่เขาเรียกมันใหม่อย่างนั้นเหรอ ผมยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าว

            “ยอล”

            “หืม?”

            “คิดถึงมากนะ”

            “…”ผมได้แค่ยิ้มและพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมา
 

            แขนของเขาโอบผมเข้าไปกอดไว้ อ้อมกอดเขาที่ผมคุ้นเคย เขาดันหมอนพิงออกจับให้มันวางลงราบกับเตียง ประครองผมนอนลง และเขาก็นอนลงข้างๆ อีริคออกไปแล้วตอนนี้
 

            “ป่วยอยู่นะ”

            “ท่อนล่างยังใช้งานได้ ไม่ลำบากหรอก”

            “เฮ้ย!  ไม่เอานอนไปเลย จะไปแล้ว” ผมยันตัวจะลุกขึ้น เหมือนจะไม่ปลอดภัย -_-;

            “ล้อเล่นหรอกน่า”
 

            เขาดึงผมเข้าไปกอดไว้เหมือนเดิม ไม่สิ แน่นกว่าเดิม ปลายจมูกโด่งกดซ้ำไปซ้ำมาที่เปลือกตาของผม หน้าผมคงแดงออกมาให้เข้ารู้แน่ๆ ตามที่หัวใจมันกำลังเต้นแรงผิดจังหวะอยู่ตอนนี้
 

            “ยอล”

            “หือ?”

            “ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ไม่เคยคิดรังแกเลย ไม่เคยจริงๆ จะทำมันง่ายนิดเดียว แค่คิดก็ไม่เคย ได้แค่กอดก็แค่กอด หรือได้แค่จูบก็เอาแค่นั้นนะ รู้ไหม”

            “รู้ รู้ตอนนี้แหละ” 
 

             เรานอนกอดกันอยู่แบบนั้นจนผมกับเขาหลับไปทั้งคู่ ผมตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนเย็นแล้ว เขายังหลับอยู่เหรอ น่ารักจัง ผมลูบผมตรงหน้าผากเขาเบาแล้วกดจูบลงไป ‘ฝันดีนะ’ เขาลืมตาขึ้นมาจับใบหน้าผมไว้ เราสบตากัน …
 

            “จะไปแล้วเหรอ”

            “อืม”

            “กลับดีๆนะ ให้อีริคไปส่งด้วย”

            “อืม เดี๋ยวมาเยี่ยมอีกนะ หายเร็วๆล่ะ”

            “ไม่ต้องมาแล้วล่ะ จะไปหาเองนะ เดี๋ยวก็หายดีแล้ว” เขายิ้มกว้างให้ผม

            “อ่า…อื้ม”

            “ยอล …” เขาแนบหน้ามากระซิบ “เดทกันนะ”

            O_O; อ่า…
 

                        ตอนนี้ผมอยู่บนรถกำลังจะกลับหอ ผมไม่พูดอะไรกับอีริคเลย ใจผมยังเต้นผิดจังหวะอยู่ ผมรู้แล้วว่าผมชอบใครซักคนแล้วตอนนี้ อีริคหันมายิ้มให้ผมบ้าง ผมเบนหน้าหลบเขาไปด้วย เขาถึงกลับหัวเราะใส่ผม เขาสองคนนิสัยคล้ายกันมากจริงๆ ผมดูเป็นตัวตลกไปเลย T^T;
 

            เอ๊ะ …ทางกลับผ่านร้านเบเกอรี่นี่นา

            “อีริคครับ ส่งผมตรงนี้แหละ ผมจะลงไปหาอี๋ฟาน”
 

            เขาทำตามที่ผมสั่ง แล้วขับรถจากไปด้วยรอยยิ้ม เขาเหมือนพี่ชายที่แสนดีของ เควินเลยนะ น่ารักสุดๆเลย ^^;

 

            ด้านในร้าน ผมมองไม่เห็นอี๋ฟานยืนรับลูกค้าอยู่ แต่เจอเข้ากับพี่ที่เคยทำงานร้านกาแฟด้วยกันพอดี

            “อ้าวชานยอล มาหาแฟนเหรอ”

            “อ่า…” ผมยิ้มแห้งๆ

            “อยู่ด้านในน่ะ เข้ามาก่อนสิ หมอนั่นเข้าไปตั้งนานแล้ว”

            “จะดีเหรอครับ ผมคนนอกนะ”

            “มาเถอะ เจ้าของร้านหายไปไหนก็ไม่รู้”
 

 พี่เขาดึงมือผมเข้าไปในร้าน ผมเดินเข้ามาดูในครัวที่มีชั้นวางขนมเล็กๆเต็มไปหมด น่ารักดีจัง สีเหมือนลูกกวาดเลย ว้าว ตรงนี้ก็น่ากิน พอเดินเข้าไปเรื่อยๆ ผมก็เจอกับเสียงของอี๋ฟานพอดีเลย เขาอยู่ตรงนั้นเหรอ ผมเปิดประตูออก
 

“คริส…”

สิ่งที่ผมเห็น …เขากำลังจูบ จูบอย่างนั้นเหรอ? กับผู้หญิงร่างเล็กคนหนึ่งเธอมีใบหน้าสวย น่ารัก พวกเขาผละออกจากกันเมื่อเจอผม ผมไม่ควรเข้ามาเลย ผมเดินออกจากร้านนี้ดีกว่า ผมไม่รู้ว่าอารมณ์ตัวเองเป็นยังไง แบบไหนตอนนี้ ถ้าเขาอยากจูบกับคนอื่น เขามาจูบกับผมทำไม มาบอกว่าชอบผมทำไม อ่อ ก็เหมือนกับผมใช่ไหม ที่จูบกับพี่ชายเขา แบบนี้ผมก็โกรธไม่ได้สิ อ่า…นั่นสินะ ชั่งมันเถอะ แต่หัวใจของผมจุกแน่นไปหมด จนขาผมก้าวไม่ออก
 

“ชานยอล!”

เขาวิ่งตามผมมา แต่รถเมล์มาพอดี อย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้เลย ผมก้าวขึ้นไป แล้วรถก็ออกตัว

 

ตอนนี้ผมถึงห้องแล้ว ยืนอยู่หน้าเปียโนหลังใหญ่ พยายามสงบใจตัวเองให้เย็นลง ใจเย็นๆสิ ชานยอล เรื่องแค่นี้เอง มันก็ถูกแล้วถ้าเขาจะคบกับคนอื่น ฟู่…







 

 

 

 

bottom of page