top of page

กฎข้อที่ 7 สถานะตรงกันข้าม
 

            08:00 Pm.
 

            ใกล้เวลานัดของผมแล้ว ผมออกมารอที่สะพานใกล้ๆกับหอพักของผมเอง มีรถเก๋งสีดำทะเบียนที่ผมคุ้นเคยจอดอยู่ ผมเดินไปด้านหน้าแล้วยืนรอ บุคคลในรถออกจากรถเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ผมทันที
 

            “เชิญครับ คุณหนูเล็ก”

            “ขอบคุณครับคุณลุง”
 

            ไม่แปลกใจกันเหรอครับทำไมเขาถึงเรียกนักศึกษามหาลัยชีวิตเรียบง่ายไร้สังคมแบบผมแบบนั้น เพราะสถานะทางบ้านของผมเองครับ ผมไม่เคยบอกนะว่าบ้านผมฐานะประมาณไหน ผมกับอี๋ฟานเราก็ไม่ต่างกันมากหรอกครับ เรื่องครอบครัว แต่เรื่องการดำเนินชีวิตก็อย่างที่ทุกคนรู้ รสนิยมเราต่างกันชัดเจน
 

            ผมมองหากระเป๋าตามที่พ่อบอก ด้านในมีเอกสารบอกรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับการคุยธุรกิจครั้งนี้ ลูกชายประธานใหญ่ด้านการส่องออกทางเรือเหรอ อืม…คู่ค้าหลักของเรา แต่ขอการใช้ตลาดล่างในการสัญจร หึ นี่แหละนะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรบนโลกใบนี้ มันมีสองด้านเสมอ
 

            ไม่นานรถผมก็จอดที่ร้านอาหารแถบชานกรุง ผมหยิบสูทนอกในรถมาสวม แล้วเดินลงไป ด้านนอกเงียบสงัด มีต้นไม้ปลูกขึ้นเป็นสวนตามทางเดินหิน โคมไฟเล็กๆนำทางผมเข้าไปในร้าน มีพนักงานต้อนรับก้มกราบทำความเคารพชั้นสูงให้ผม มันเป็นหน้าที่ของเขา เพราะฐานะผมต้อนนี้ต่างจากเดิมไปแล้ว
 

            “เชิญทางนี้ครับ”
 

            ผมรับฟังคำพูดนั้นแล้วเดินตาม นิ่ง เงียบ ไม่มีแต่พยักหน้าตอบรับอะไรทั้งนั้น บุคลิกสำคัญต่อการพูดคุยธุรกิจเสมอ มันเหมือนเป็นจิตวิทยาการสื่อสารที่บ่งบอกอำนาจการวางตัวด่านแรก คนที่ผมจะมาพบน่าจะอายุไม่มาก ดูจากบุคคลรอบตัวเขา สูทสีดดำดูดี แต่ไม่เคร่งขรึม แว่นดำที่พวกเราสวมเป็นชนิดเดียวกันบอกรสนิยมด้านแฟชั่นได้ดีพอตัว แต่เขาสวมแว่นดำตอนกลางคืนกันทำไม -_-;
 

            ห้องที่ผมเข้ามากว้างขวาง มีโต๊ะตัวยาวมาก พร้อมการจัดวางอาหารประดับอย่างสวยงาม แต่มีเบาะวางตำแหน่งการนั่งแค่หัวโต๊ะทั้งสองด้านตรงข้ามกันเท่านั้น แสดงว่าการคุยครั้งนี้เป็นการคุยส่วนตัว ระหว่างเขากับผมเท่านั้น ก็ดี
 

            “กรุณารอบอสของเราซักครู่ครับ”
 

            ผมนั่งลงฝั่งแขก โดยสังเกตจากการวางคนโทใส่เหล้าโบราณและจอกเหล้าที่ตั้งไว้ด้านขวามือของแขก คืนนี้ต้องดื่มสินะ เฮ้อ…
 

            แกร่ก…บานพับประตูไม้โบราณของห้องเปิดออก ผมนั่งนิ่งในท่าทางการแสดงการให้เกียรติ ขอบบุคคลที่มาถึง  
 

            กรึ่บ …บานประตูปิดลง แต่บุคคลนั้นไม่ก้าวขาเดินมาหาผม ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา
 

            “เควิน”

            “ชานยอล”
 

            เราต่างคนต่างก็ตกใจกับสิ่งที่เจอ ผมไม่คิดว่าจะเจอเขาที่นี่ เขาเองก็น่าจะเหมือนกัน เขาคงมองผมเป็นแค่ใครคนหนึ่งเท่านั้น แต่เขาก็รู้ว่าผมรู้จักแม่ของเขานิ เขาคงไม่คิดว่าผมหลอกเขาหรอกใช่ไหม? ผมไม่เคยทำนะ …ตอนนี้เขาคงรู้หมดแล้วว่าผมเป็นใคร
 

            “เชิญนั่งครับ”

            “ครับ”
 

            แล้วเราก็เริ่มคุยธุรกิจกัน พูดเรื่องราวต่างๆที่เขาพยายามเสนอให้ผมตัดสินใจร่วมเกี่ยวกับงานนี้ ผมดูข้อได้เปรียบเสียเปรียบของเราทั้งสองฝ่าย ถกเถียงกันกับเขาเป็นเวลานาน จนผ่านไปไม่รู้กี่ชม. ในที่สุดเรื่องราวธุรกิจของเราก็จบลง ผมได้ข้อเสนอที่พอใจ เขาได้สิ่งที่เขาอยากได้
 

            เมื่อคุยเสร็จ เขาไม่ถามอะไรผมอีก เรานั่งมองใบหน้าของกันและกัน รอให้อีกฝ่ายพูดก่อน ผมอยากยิ้มให้กับเขา แต่สถานะเราไม่ใช่ เขาเองก็มีท่าทางที่แสดงความอึดอัด ผมสังเกตจากการดื่มของเขาที่ถี่ขึ้นเมื่อมองหน้าผม
 

            “เราคุยกันเสร็จแล้ว ขอตัวกลับเลยได้ไหมครับ”

            “เดี๋ยวสิ”
 

            เขาถือขวดเหล้ามานั่งข้างๆผม คราบนักธุรกิจของเราถูกพักไว้แล้ว ผมยิ้มให้เขาอย่างยินดี ขยับตัวเข้าหาเขาเหมือนกัน
 

            “เควิน”

            “ชู่ว์ …”

            เขาส่ายหน้าแตะมือมาที่ปากผม บอกให้ผมเงียบ

            “ไม่ต้องพูดอะไรหรอก เข้าใจ”
 

             ผมก็เข้าใจสถานะเขาดีแล้วเหมือนกัน เขาเป็นลูกรักของเธออีกคน เพียงแต่เป็นคนอีกสืบทอดอีกฝั่งหนึ่งของธุรกิจของแม่เท่านั้น นั่นสินะ ในโลกธุรกิจ เป็นไปได้ทุกอย่างเสมอ มันก็แปลว่า แม่ของเขาไม่ได้กังขังเขาไม่ให้เจออี๋ฟาน แต่กังขังอี๋ฟานไม่ให้บังเอิญเจอเขาต่างหาก การตอบคำถามของคนที่ไม่รู้อะไรเลย ยากลำบากกว่า ถ้าผมเดาไม่ผิดเส้นคู่ขนานระหว่างแฝดคู่นี้จะจบลงเมื่ออี๋ฟานสืบทอดทายาทธุรกิจของเธอ เขาจะรู้พร้อมๆกับที่พี่ชายเขาทำธุรกิจหลังฉากให้
 

            “หลังจากอี๋ฟานได้ทุกอย่างไป นายกับแม่จะบอกเขาไหมเควิน”

            “เธอตัดสินใจไม่บอก กลัวเขารับไม่ได้”
 

            สีหน้าของหมอนั่นเคร่งเคียดไปหมด แววตาคมกริบมองมาที่ผม คิ้วเขาขมวดเข้าหากันไม่มากแต่ก็พอมองออก ว่าเขารู้สึกอย่างไร ผมใช้สองแขนตัวเองกอดเขาไว้
 

            “ไม่เป็นไรนะ ชั้นจะหาทางช่วยเรื่องนี้เอง”

            “ขอบใจนะ”
 

            เขากอดตอบผมแน่น สองแขนที่หนักหน่วงของเขาโอบร่างผมจนแนบชิดเขาทุกส่วน ลมหายใจอุ่นๆของเราสองคนรดกันที่ต้นคอจนร่างกายเริ่มมีไอร้อนขึ้นมา
 

            เคว้ง …คนโทเหล้าตกลงด้านล่างจากมือผมที่ปัดบนโต๊ะ เราสองคนหันไปมองพร้อมกันแล้วผละตัวออกช้าๆ ผมหยิบมันขึ้นกำลังจะวางไว้บนโต๊ะ อ่ะ …
 

            สองแขนเขาโอบรอบเอวผมอีกครั้งตอนที่ผมไม่ได้ตั้งตัว เหล้าที่มือผมสาดไปที่ตัวเขา เสื้อผ้าเปียกเหล้าชุ่มทั้งตัว
 

            O_o; ผมควานมือไปเช็ด เสื้อที่เปียกกลิ่นเต็มไปด้วยเหล้าฉุนไปหมด ผมมองหน้าเขาด้วยความรู้สึกขอโทษ แต่เขายิ้มให้ผมบางๆ เควินค่อยๆถอดสูทนอกของตัวเองออก แล้วปลดกระดุมเสื้อเชิตสีดำของเขาลงมาเรื่อยๆ >///<; เอ่อ…จะถอดไม่ว่าแต่ไอ้สายตาเซ็กซี่นี่ส่งมาให้ผมทำไมว่ะ ผมเบนหน้าหนีไปทางอื่น มันดีที่ไหนล่ะผู้ชายแก้ผ้าให้กันดู
 

            ผมเห็นแค่เสื้อเชิตของเขาวางไว้ข้างๆสูท แต่ไม่ได้หันไปมองตัว ผมจะสนทำไมรูปร่างผู้ชายเหมือนกัน มือของเขาจับมาที่ใบหน้าของผม ให้หันไปมองเขา แต่สิ่งที่ผมเห็น คือ O_O;
 

            ผมอ้าปากออกมาในสิ่งที่ตาตัวเองเห็น มันคือ …ลวดลายของรอยสักสีดำเข้มตัดกับผิวขาวเต็มแผงอกด้ายขวาของเขา ผมมองตามรอยสักนั้น เขาค่อยๆลุกขึ้นหันหลังให้ผม ผมมองออกแล้วว่าลวดลายที่อยู่บนร่างกายเขา มันคือภาพอะไร …มังกรตัวใหญ่แสดงพลังอำนาจที่มันมีออกจากแววตาคมเข้ม เขี้ยวยาวออกจากปาก ไรฟันคมกริบจนน่ากลัว เกร็ดของมันเงางามสะท้อนอยู่บนแผ่นหลังขาว โครงสร้างของมันครอบคลุมปลีกไหล่กว้างและแผ่นหลังเขาทั้งหมด รูปร่างของมังกรถูกรองรับด้วยแรงคลื่นแสนงดงาม ผมเอามือปิดปากตัวเองไว้จนเขาหันหน้ามาหาผมอีกครั้ง
 

            “นายชอบมันไหม”

            “…” จะตอบยังไงดีล่ะ ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงจริงๆ มันสวย แต่มันก็แสดงถึงเจ้าของๆมันได้ดีทีเดียว

            “ไม่ชอบเหรอ”

            ผมส่ายหน้า “ไม่ใช่แบบนั้น”

            “งั้นก็ชอบสินะ” เขายิ้มมุมปากให้ผม “ดีแล้วล่ะ มันเป็นของนายนะ”
 

            O_o; เขารวบตัวผมเข้าไปกอด แล้วจับข้อมือผมอ้อมหลังไปจับแผ่นหลังเขาไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกใจสั่นให้กับผู้ชายด้วยกัน หรือผมจะชอบผู้ชายได้จริงๆเหรอ
 

            “เควิน …เหล้าแห้งแล้วมั้ง”เสื้อผมซับเหล้าเข้ามาจนผมรู้สึกชื้นเหมือนกัน

            “อยากกลับแล้วเหรอ”

            “อื้ม เหนื่อยแล้ววันนี้ทำงานมาทั้งวันเลย นายก็รู้” ผมไม่อยากอยู่สภาพนี้นานๆจนกว่าผมจะมั่นใจตัวผมเอง ว่าใช่หรือไม่

            “งั้นให้ชั้นไปส่งเองนะ”

            ผมพยักหน้า
 

            เขาจับมือผมลุกขึ้นยืน หน้าผมเป็นเครื่องหมายคำถามว่าเขาไม่ใส่เสื้อก่อนเหรอ เขาส่ายหน้าแล้วเอาเสื้อพาดไหล่ไว้ พาผมเดินออกมา หมดแล้วภาพพจน์ ปาร์ค ชานยอล -_-;
 

            คนของเขามองที่เราสองคน แล้วก้มหน้าก้มตาไม่มองมาที่ผม ชัวเลย! การคุยธุรกิจครั้งนี้โดนมองว่าเป็นเรื่องอื่นไปแล้ว หมอนี่ไม่สนใจเลยเหรอ แบบนี้ฐานะของผมเสียนะ เขาลากผมมาที่รถลูกเดียว
 

            รถของเขาวันนี้ไม่เหมือนที่ผมเห็นหน้าร้านกาแฟ มันคือดับบิลไฮเลนสีดำสนิท ราคาแพงติดท๊อบเท็นของโลกใบนี้เลยทีเดียว พอกันกับน้องชายเลยนะเรื่องรสนิยม  -_-;
 

            “ในรถมีเสื้อนะ เปลี่ยนสิ” เขาบอกผม
 

            เสื้อที่เขายื่นมาให้เป็นเสื้อยืดสบายๆ และเขาก็เอาอีกตัวไปใส่ ผมปลดประดุมเสื้อตัวเองแล้วค่อยๆถอดมันออก เหล้าทำผมเหนียวตัวไปหมด แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ใส่เสื้อ เขารวบสองแขนผมไว้ยกขึ้นสูงกดติดตัวรถ ผมเบิกตากว้าง ไม่ใช่หมอนี่คิดจะทำอะไรหรอกนะ เขาค่อยๆไล่สายตามองรูปร่างของผมอย่างเปิดเผยในสิ่งที่เขาคิด ลมหายใจของผมไม่สม่ำเสมอแล้วตอนนี้ แต่อยู่ๆเขาก็ปล่อยมือผมออก ผมรีบใส่เสื้อเข้าไปทันที ฟู่ …โล่งอก
 

            “ชานยอล”

            “อะไร”

            “ชั้นชอบรูปร่างนายนะ”

            O_O; หมอนี่!

 

 

 

 

            ผมกลับมาหอด้วยอาการครบสมบูรณ์เหมือนตอนไป หมอนี่ไม่ได้พาผมแวะที่ไหน ซึ่งเป็นเรื่องดีมาก บอกเลยว่าผมไม่ค่อยไว้ใจพี่น้องคู่นี้แล้วในเรื่องแบบนี้ อี๋ฟานกับเควิน หาช่องว่างตักตวงมันจากผมทุกครั้งที่เข้าถึงผมได้ -_-; พวกนี้โรคจิตใช่ไหม?
 

            ตอนนี้เวลาล่วงเลยเกินเที่ยงคืนมาแล้วหนึ่งชม. อี๋ฟานจะหลับหรือยังนะ ผมเปิดประตูเข้ามามองเขาในห้อง เขาหลับไปแล้วเหรอ? วันนี้ก่อนผมออกไปเหมือนเขาไม่พอใจที่ผมปล่อยให้เขาอยู่ห้องคนเดียว โทษทีนะ …ผมลูบหัวเขาเบาๆ ลมหายใจสม่ำเสมอของเขาบอกผมว่าเขาหลับสนิทเลยทีเดียว ผมยิ้มให้กับความน่ารักของเขา เฮ้อ …เหนื่อยจัง ว่าแล้วผมก็เขียนโน้ตทิ้งไว้ให้เขาก่อน แป๊ะป๊าบลงไปที่หน้าผากหมอนี่เพราะกลัวเขามองไม่เห็น แล้วทิ้งตัวนอนลงข้างๆ
 

‘แตะต้องร่างกายชั้น นายตาย!’










 

 

bottom of page