top of page

กฎข้อที่ 19 สภาวะ
 

            คืนนี้เราทุกคนต้องอยู่บ้าน เพราะอีกวันเดียวก็เป็นวันแต่งงานของพี่สาวชานยอลแล้ว แม่ของชานยอลให้เข้าไปช่วยเลือกชุดใส่ตามธรรมเนียมเกาหลี น่าจะเรียกว่าชุดฮันบก -_-; เขาจึงต้องขอปฏิเสธไปงานเลี้ยงวันเกิดแฟนเพื่อนที่ตกลงกันไว้ พวกผมสามคนเลยว่างาน ไม่มีอะไรให้ทำ ผมเลยมาอยู่ในห้องเปิดคอมแล้วเข้าร่วมประมูลออนไลน์หากีตาร์แบบเดิมให้เขา ผมไม่เคยรู้ราคากีตาร์ตัวนั้นมาก่อน มันทั้งแพงและเป็นของที่หายากมาก มีไม่ถึง 20 ตัวแล้วบนโลก ถ้ารวมตัวที่พังไป ก็น้อยลงเต็มที
 

            อ่า…แต่ในที่สุดผมก็หามันมาจนได้ งานประมูลรวมค่าจัดส่งทุกอย่าง ของจะถึงในวันถัดไปทันที ไม่ถึง 24 ชม.เพราะเป็นความเป็นมืออาชีพของเว็บมาสเตอร์ ลูกค้าส่วนใหญ่จึงอยู่ในกลุ่มฐานะประมาณผมเท่านั้น ชานยอลจะดีใจไหมนะ หามาให้จนได้ ผมน่ะดีใจที่สุดเลย ^^;
 

            ตึ๊ง …อีเมลการกระมูลส่งมาเหรอ เร็วจัง ผมกำลังเปิดอ่าน แต่มันไม่ใช่! มันคือข้อความจากคนๆเดิม และภาพใหม่ ครั้งนี้ผมซุกเข้าที่หน้าอกของฝ่ายหญิงเลย  -[ ]-; ผมตอบเมลกลับไปทันที
 

            /ต้องการอะไร ยื่นข้อเสนอมาเลย

            :/ข้อความตอบกลับ : ไม่ต้องการ

            /แล้วทำแบบนี้ทำไม

            :/ข้อความตอบกลับ : เดี๋ยวก็รู้เอง

            /บอกมาเดี๋ยวนี้

            :/ข้อความตอบกลับ : ไม่มีข้อความ
 

            -_-^; แต่คิดแล้วเรื่องแบบนี้มันไม่หลุดโลกไปหน่อยหรือไง ทำกับผมแบบนี้ทั้งที่เธอต้องการผมเองไม่ใช่เหรอ ผมแค่ผู้ชายนะไม่ใช่มนุษย์หิน ใครจะไปอดทนไหวเล่นมาให้ทุกวัน แล้วผมก็จำเป็นเพื่อเอาตัวรอดด้วยเวลานั้น เฮ้อ…นึกแล้วผมก็เสียใจกับมันนะ ไม่เคยคิดเลยว่าตอนที่เรามีคนรักแล้ว เรื่องเก่าๆมันจะน่ากลัวขนาดนี้ ถ้าผมไม่มีชานยอลตอนนี้ผมคงไม่สนใจมันเลย ยังไงสะเรื่องนี้มันก็ไม่มีผลกับผมอยู่แล้ว
 

เอาล่ะผมต้องให้ใครคนหนึ่งช่วยสะแล้ว -_-;
 

“ฮัลโหล คุณพ่อบ้านครับ ช่วยเชคที่อยู่อีเมลที่ผมกำลังจะส่งไปให้นี้ ให้ผมหน่อยนะครับ ด่วน!”

...ผมกดส่ง

“ได้ครับ ผมขอ 15 นาทีครับ”

ผมกดวางสายแล้วนั่งรอ…

เหลืออีกสองนาที ผมกำลังลุ้นระทึก!

แกร่ก…

“ทำอะไรอยู่เหรอ” ชานยอลถามผมเมื่อเขาเข้ามาในห้อง -[ ]-;
 

ผมพับคอมปิดทันที แล้ลุกขึ้นไปหาเขา ยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน และกลบเกลื่อน TT;
 

“ป่าวครับ เล่นเกมรอ เหนื่อยไหม ไปนานจังเลย” อ้อนไปก่อนครับ อ้อนเท่านั้น

“โทษทีนะให้รอ ทำไมไม่หลับไปก่อนล่ะ”

“งั้นนอนกันเถอะดึกแล้ว”
 

 ผมเปิดผ้าห่มบนเตียงแล้วดึงข้อมือเขามาใกล้ๆ ผมนั่งลงไปก่อนจะจับตัวเขามานั่งบนตัก หน้าผมจะซบที่แผ่นหลังของเขาได้พอดี เพราะเขาสูงทั้งคู่ เขาดันตัวผมให้นอนลงแล้วเลื่อนไปกลางเตียง ดึงผ้าห่มคลุม แล้วหลับตา อ้อมดอกผมรัดตัวคนรักของผมไว้แน่น เขาเอื้อมมือปิดไฟแล้ว ไม่นานคงหลับ แต่ผมได้แค่หลับตาจริงๆ ใครจะไปนอนหลับฟ่ะ เรื่องใหญ่ของผมกำลังจะมาแล้ว ความลังเลที่จะบอกชานยอลดีหรือป่าวผมยังตัดสินใจอยู่ ผมไม่ได้กลัวเขารู้เรื่องนี้แต่กลัวเขาจะรู้เอง ขอให้แก้ปัญหานี้ให้จบๆไปสะก่อนเถอะ!

 

 

 

 

 

เช้าวันต่อมา ผมนั่งรอพัสดุของผมมาส่งอยู่หน้าบ้าน และก็มาตรงตามเวลานัดจริงๆ รับของมาแล้ว ผมก็แอบโทรหาพ่อบ้านอีกครั้ง ก่อนจะเข้าไปข้างใน
 

“พ่อบ้านครับ เรื่องที่ให้เช็กเมื่อวาน”

“ที่อยู่อีเมลนั้นคือเกาหลีครับ กรุงโซล ผมหาเลขได้แค่นี้ ส่วนที่อยู่จริงๆเจ้าของอีเมลบล๊อคไว้แล้วเลื่อนไปเรื่อยๆตามแถบต่างๆรอบกรุงครับ จับที่อยู่ที่แน่นอนไม่ได้เลย”

“ขอบคุณมากครับ”
 

หลังจากวางสายไปผมก็รู้ทันทีว่าเขาทำเรื่องนี้อย่างรอบครอบแล้ว เอาว่ะ! เป็นไงก็เป็นกัน ผมจะไม่กังวลแล้ว เอากีตาร์ไปให้ชานยอลดีกว่า
 

เมื่อผมเข้ามาในห้อง ก็ได้ยินเสียงฮำเพลงเบาๆจากห้องอาบน้ำ ผมอยากแง้มประตูเข้าไปอีก แต่ …มันล๊อคจากข้างในเรียบร้อย คงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว (เร็วๆนี้) -_-;
 

            ไม่รู้ว่าจะตั้งกีตาร์ไว้ตรงไหนดี ถือไว้ให้เลยล่ะกัน ไม่มีตรงไหนเหมาะเท่ากันผมเป็นคนถือแล้ว ความหล่อของผมประดับกีตาร์ได้ดีที่สุด ความจริงแล้วชานยอลไม่ได้เล่นเป็นแค่กีตาร์กับเปียโนนะครับ เมียผมมีความสามารถเยอะกว่านั้น เขาเล่นได้หลากหลายมากทั้งกลอง และเบส ชนิดที่เกิดมาให้สาวๆหลงใหลเขาด้านนี้เลย ส่วนผมก็มีเสียงร้องเพราะๆไว้ให้เขาเวลาเขาเล่นดนตรีครับ เราเหมาะสมกันที่สุด
 

            “อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ”

            “ไม่เห็นเหรอ”

            -_-; เห็น!

            “ไม่ให้กีตาร์นะ ไม่อ้อนเลย”

            “อ่า…ให้กีตาร์ชั้นนะ นะอี๋ฟานนน อ๋า…” เขาลาดเสียงยาวเมื่อมองเห็นกีตาร์ในมือผม

            น่ารักจัง >/////<;

            “หอมแก้มแล้วเรียกพี่ก่อน”

            “ทำไมต้องเรียกพี่ด้วย”

            “เพราะชั้นเป็นพี่นายตั้งสองปีเลยนะ แล้วนายก็เรียกเควินว่าพี่ด้วย”

            “ก็เขาน่าเคารพนี่…”

            -_-; “จะบอกว่าชั้นไม่อย่างนั้นเหรอ ช่วยเคารพสามีหน่อยได้ไหม”

            “อ่า…โอเคๆ พี่อี๋ฟาน ต่อไปจะเรียกแบบนี้นะครับ เอากีตาร์มาได้หรือยัง”

            “หอมแก้มด้วยสิครับน้องชานยอล”

            ฟอด! … “พอใจไหม?”
 

            พอใจมากที่สุด! ฮ่าๆๆ แบบนี้สิเมียของอู๋ อี๋ฟาน ^^; ผมยื่นกีตาร์ให้เขาไป ท่าทางเขาเหมือนเด็กได้ของเล่นมากเลยครับ ยิ้มกว้างสดใสแววตาดีใจเต็มเปรี่ยม ผมรู้สึกตามไปด้วยเลย ถ้าเมียเศร้าเราก็แซด ถ้าเมียยิ้มเราก็เบิกบาน แบบนี้นี่เอง
 

            “พรุ่งนี้ก็วันงานแล้ว ไม่มีเวลาเล่นให้ฟังหรอกนะ”

            “ไม่เป็นไรหรอก เราออกไปช่วยคนอื่นก่อนเถอะ งานอีกเยอะเลย แม่บ้านบอกว่าเราต้องไปดูการเตรียมงานที่โบสถ์ด้วยนะ”

            “ครับ ไปกันเถอะ!”
 

            เราจูงมือกันเดินออกมา แต่พอผ่านหน้าห้องของลู่หาน เขาขอเข้าไปหาเพื่อนผมก่อน แล้วสองคนนั้นก็ออกมาพร้อมกัน ในชุดที่เหมือนกันเป๊ะ -_-; ทำยังไงผมจะแยกคู่นี้ออกจากกันได้ว่ะ นี่คงนัดกันแต่งตัวอยู่แล้วใช่ไหม เฮ้อ…พอลู่หานเดินเข้ามาใกล้ ไม่ใช่แค่ชุดเท่านั้นแล้วตอนนี้ แม้แต่กลิ่นน้ำหอมก็เหมือนกัน และเดินจูงมือกันไปต่อหน้าผม เริ่มควันออกหูผมเล็กๆแล้วว่ะ
 

            เควินรอเราอยู่ที่รถแล้ว พี่ชายผมไม่เคยเป็นฝ่ายให้ใครรอมาก่อน ตรงเวลาเป๊ะและบางครั้งเขาจะมาก่อนเวลาเสมอ โชคดีนะที่หมอนี่หน้าตาเหมือนผม เขาใส่อะไรง่ายๆสบายๆถึงหล่อได้มากมายขนาดนี้ แต่นี่ก็เป็นไม่กี่ครั้งที่ผมเห็นเขาใส่เสื้อยืดสีขาวธรรมดาปกติมัน แม่งงแต่งดำสนิท
 

            “เควิน! ใส่เสื้อสีขาวเหรอ ว้าว ยอดเยี่ยมไปเลย มาใกล้ๆหน่อยสิ” นั่นไงคุณเมียเริ่มโชว์ความสนิทสนมกับพี่ชายผมอีกคน อยู่ๆเขาก็ดึงมือเควินเข้าไปหาแล้วให้ยืนหันหลังให้ ใบหน้าหวานๆแนบไปติดเสื้อแล้วลูบเสื้อพี่ชายผมจนติดเนื้อ O_o; เฮ้ย ทำอะไร!
 

            “มองเห็นไหม” พี่ชายผมมันถามเมียผม เห็นอะไรว่ะ -_-;

            “เห็นแล้ว ว้าวยังสวยเหมือนเดิมเลยนะ บอกแล้วนะว่ามันเป็นของผมน่ะ พี่เควิน”

            “อื้ม ไม่ให้ใครหรอก สัญญา ฮ่าๆๆๆๆ”
 

            O_o; งานใหญ่ระดับชาติ ไอ้เชี่ยวิ่นมันหัวเราะให้เมียผมแล้ว ทีผมเป็นน้องมันยิ้มยังยากเลย รีบแยกทั้งคู่ออกจากกันดีกว่า
 

            “ชานยอลรีบไปกันเถอะ” ผมคล้องคอเมียผมขึ้นรถ
 

            อีริคเป็นคนขับรถให้เราทั้งสี่คน ครอบครัวของชานยอลไปรอเราที่นั่นแล้ว ผมนั่งข้างเมียตัวเอง ส่วนพี่ผมนั่งข้างลู่หาน ผมยังสงสัยในความสัมพันธ์ของสองคนนี้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไร พี่ผมมันออกปากบอกว่ายังไงก็น้องชายเท่านั้น จบ. ก็ดีครับเราทุกคนจะได้สนิทกันได้มากกว่านี้
 

            เผลอไปมองลู่หานแป๊บเดียว -_-; ชานยอลเอาอีกแล้ว เขาหันหลังไปหาเควินที่เบาะหลังแล้วแกะนาฬิกาตัวเองไปแลกกันใส่กับหมอนั่น ผมจ้องเควินเขม่ง แต่เหมือนกันไม่สนใจผมเลย ลู่หานเองก็จับแก้มชานยอลบีบไปบีบมา หัวเราะสนุกสนานกับลั่นรถ อื้อ…งอนจริงๆแล้วนะโว๊ย!

           

 

 


 

 

            ///
 

            ตอนนี้เราทุกคนอยู่ที่โบสถ์ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานของพี่สาวผมเอง เวดดิ้งทีมช่วยกันตกแต่งสถานที่ได้งดงามที่สุด ผมแยกตัวเข้ามาในตัวโบสถ์ชั้นบน ชุดของพี่สาวผมและเครื่องประดับ ทางห้องเสื้อของทีมเวดดิ้งจัดมันไว้เรียบร้อยแล้ว ผมเข้ามาดูข้างในเพื่อตรวจเช็ครายละเอียดก็เจอกับทีมงานจัดชุดคนหนึ่ง เธอยิ้มให้ผม ผมก็ยิ้มตอบ
 

            “สวยจังเลยนะครับ สีขาวบริสุทธ์”

            “เหมาะสำหรับเจ้าสาวที่เปรียบเหมือนหงษ์ค่ะ”

            “ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ ผมว่ายังไงชุดเจ้าสาวก็เหมาะกับผู้หญิงทุกคนนะครับ”

            “ก็ต่างระดับกันลงมาไงคะ ชั้นคงไม่มีค่าพอจะใส่ชุดพวกนี้หรอกค่ะ ทั้งแพงและสูงส่ง”

            “มันอยู่ที่คุณจะเลือกเองหรือป่าวครับ ผมว่าเราทุกคนเลือกได้นะ เราทุกคนก็เหมือนกัน”

            “คุณเป็นคนดีจังเลยนะคะ” แววตาเธอดูเศร้ามากเวลาที่เธอหันมาจ้องผม

            “ไม่หรอกครับ ผมเป็นคนปกติ” ผมตอบอย่างที่คิด

            “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ไปดูงานด้านโน้นหน่อย”

            ผมถอยตัวออกมาก่อนดีกว่า ผมว่าเธอคงมีอะไรฝังใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ถึงพูดแบบนั้น

            “คนแบบเขาไม่เหมาะกับคุณหรอกค่ะ!”
 

            ประโยคที่ทำให้ผมหยุดเดิน แล้วหันกลับไปหาเธออีกครั้ง เธอกำลังพูดถึงอี๋ฟานงั้นเหรอ ผมเงียบรอให้เธอพูดต่อ
 

            “ผู้ชายคนนั้นไม่มีอะไรดีเลยค่ะ นิสัยก็ไม่ดี จิตใจก็ไม่ดี ชั้นเคยเป็นของเขามาก่อน”

            “คุณพูดถึงคู่หมั้นผมเหรอครับ”

            “อย่าเอาคนแบบนั้นเป็นคู่หมั้นเลยนะคะ อี๋ฟาน ไม่เหมาะสมกับใครทั้งนั้น นอกจากเงินแล้วเขาไม่มีอะไรเลย”
 

            ผมควรจะตอบเธออย่างไรดี พาเธอไปนั่งคุยให้เธอรู้สึกดีขึ้นกว่านี้คงดีกว่า ผมจูงมือให้เธอเดินตามผมมาอีกห้องด้านในโบสถ์ซึ่งไม่มีคนอยู่เลย เรานั่งคุยกันต่อ
 

            “มันเกิดอะไรขึ้นครับ” ผมถามต่อ

            “ดิฉันชื่อ นิกกี้ค่ะ ซ่านอี่ คือชื่อจริง เป็นคนฮ่องกง” ผมฟังออกว่าไม่ใช่สำเนียงของคนเกาหลีแท้ “เคยเป็นคนใช้ในบ้านของเขา เราเคยมีความสัมพันธ์กัน นานมาแล้วค่ะ เขาหลอกใช้ดิฉันค่ะ ให้ช่วยเขาหนีออกจากบ้าน หลังจากที่เขากลับมาบ้านอีกครั้ง เขาก็ไม่สนใจดิฉันเลย แม้แต่ชื่อดิฉันเขาก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ” แววตาของเธอโกรธเขา “เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยเจอ เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อความสมหวังของตัวเอง”
 

            เธอพูดมาถึงตรงนี้ ผมอยากเป็นคนพูดขึ้นบ้าง ในเรื่องที่ผมคิด
 

            “ไม่รู้เหรอครับตอนแรกว่าเขาหลอกคุณ เขาสัญญาอะไรไว้ไหมครับ”

            เธอสบตาผมแล้วส่ายหน้า “เขาเคยบอกว่าจะไม่ทิ้งดิฉัน แต่ดิฉันก็รู้ว่าเขาหลอกลวง คนระดับเขาไม่มีทางจริงจังกับคนแบบดิฉันหรอกค่ะ”
 

            ผมยิ้มให้เธอ
 

            “ดิฉันตั้งใจมาหาคุณ ไม่ใช่เพราะอยากเรียกร้องอะไรหรอกค่ะ แค่เป็นห่วง ดิฉันไม่อยากให้คนดีๆแบบคุณต้องอยู่กับคนแบบเขา ดิฉันรู้ว่าเขารักคุณมาก เพราะตอนที่เขากลับไปเขาเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคน ไม่สิคะแทบจะไม่เป็นคนด้วยซ้ำ ตอนนั้นดิฉันดีใจมากที่คุณทิ้งเขา เพราะคุณจะได้ไม่ต้องมาอยู่กับคนเลวๆแบบเขา”

            “ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ เขาหยุดที่ผมน่ะดีแล้ว จะได้ไม่ไปทำอะไรคนอื่นได้อีก”

            “แล้วเขาจะไม่ทำร้ายคุณเหรอคะ”

            “ไม่ครับ ไม่มีอีกแล้ว”

            “นี่ค่ะ มือถือที่ดิฉันใช้ส่งเมลหาเขา คุณรับไปนะคะ ในเมื่อคุณมั่นใจแล้ว”

            “ขอบคุณนะครับ นี่เบอร์มือถือผม มีอะไรให้ผมช่วยก็บอก ผมยินดี อย่าเห็นผมเป็นคนอื่นนะครับ”
 

            เธอร้องไห้ …
 

            “ขอบคุณค่ะ ดิฉันรู้จากนายหญิงว่าคุณเป็นคนดีมาก ดิฉันเห็นเธอร้องไห้เมื่อพูดถึงคุณ ดิฉันเชื่อแล้วว่าคุณดีจริงๆ เลิกกับเขาเถอะค่ะ!”

            “ขอโทษนะ ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอก”
 

            ผมดึงเธอมากอดไว้แล้วตบหลังเบาๆ ไม่ต่างจากเธอเป็นน้องสาวผม ผมเข้าใจเธอแววตาของเธอไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลย เธอแค่ไร้เดียงสาไปสำหรับผู้ชายแบบเขา แต่มันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ผมทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ดีที่สุดตอนนี้คือช่วยเธอไว้
 

            “คุณชานยอลคะ ถ้ามีเรื่องไม่ดีกับคุณบอกดิฉันนะคะ”

            “ไม่มีหรอกครับ เชื่อผมสิ เดี๋ยวรอดูอะไรที่ผมจะทำให้คุณนะ แล้วผมจะโทรหา”
 

            มือหนึ่งผมก็ลูบหัวเธอ อีกมือผมก็กดเอามือเธอมากดเบอร์ผมลงไปแล้วส่งเบอร์เธอมาให้ผม เรายังนั่งอยู่ด้วยกันอีกครู่ใหญ่ก่อนเธอจะไปทำงาน เธอไม่ได้ขอความช่วยเหลืออะไรจากผมเลย เธอแค่อยากให้ผมรู้ ผมดูมือถือที่เธอให้มา รูปต่างๆของเธอที่มีความสัมพันธ์และคนของผมถูกส่งเมลไปสองสามรูปแล้ว และอี๋ฟานน่าจะรู้เรื่องนี้ รวมทั้งข้อความสนทนาระหว่างพวกเขา ผมกุมขมับตัวเองเล็กๆ กับเรื่องที่เขาทำไว้ ผมเป็นผู้ชายผมเข้าใจมันนะ สำหรับผู้หญิงมันดูเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับคนระดับพวกผมและเป็นเพศชายมันดูเป็นเรื่องปกติ เราหาความสุขกันได้ ผมสามารถใช้ชีวิตแบบนั้นได้ แต่นั่นไม่ใช่นิสัยผม ผมเป็นพวกแปลกแยก ส่วนอี๋ฟานคือพวกปกติของสังคมเรา แต่เขาน่าจะได้บทเรียนอะไรบ้าง จากเรื่องนี้
 

            ผมเดินลงมาด้านล่าง เห็นเธออีกครั้ง เธอโบกมือแล้วยิ้มให้ผมก่อนขึ้นรถไป ผมโบกมือให้เธอกลับ แววตาของเธอดูเป็นห่วงผมชัดเจน แต่เธอก็สดใสแล้วเมื่อเราได้คุยกัน ผมขอบคุณเธอจริงๆ
 

            “ชานยอลไปไหนมา รู้ไหมพี่ตามหา” อี๋ฟานเรียกผมทันทีที่เห็นหน้า

            “ข้างบนครับ ไปดูชุดเจ้าสาวมา” ผมบอกและยิ้มหวานสุดๆให้

            “อยากแต่งงานจังเลยนะ ว่าไหม”

            “ยังครับ ผมชอบอิสระ”

            “พูดแบบนี้พี่เสียใจนะ”

            “อย่าเยอะสิอี๋ฟาน เดี๋ยวชั้นหมดความอดทนนะ”

            ผมเดินหนีเขาออกมา เพราะอาการขี้อ้อนเยอะกว่าปกติของเขา ออกมาผมก็เจอกับทีมเวดดิ้งพอดี เลยถือโอกาสเช็คงานทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนพรุ่งนี้ คุณพ่อกับคุณแม่ของผมก็คงจะยุ่งกับจัดเตรียมชุดไหว้โบราณกับญาติฝ่ายชายเหมือนกัน ถึงจะแต่งในโบสถ์แต่เราก็ต้องไหว้ตามแบบเกาหลีก่อนเข้าบ้านฝ่ายชายอยู่ดี แล้วคืนแรกฝ่ายชายต้องไหวเคารพพ่อของผมก่อน ดังนั้นญาติผู้ใหญ่จึงยุ่งกับการประชุมงานเรื่องนี้ พี่สาวของผมเธอก็ต้องเตรียมการเคารพพ่อแม่สามีอยู่อีกด้าน เราทุกคนจึ้งต้องช่วยกันในแต่ละอย่างให้สมบูรณ์
 

            ทีมงานจัดงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ค่ำพอดี เราทุกคนถึงได้กลับมาพัก ผมกับลู่หานหลังจากอาบน้ำเสร็จเราก็มานั่งดูทีวีด้วยกัน เขาบ่นว่าเดินเยอะปวดเท้า ผมจึงยกขามาวางบนตักแล้วค่อยๆนวดให้
 

            หลังจากอาหารว่างและดูหนังจบไปหนึ่งเรื่อง อี๋ฟานก็อาบน้ำเสร็จพอดี เวลาของผมกับเขามาถึงแล้ว ผมขอตัวลู่หานเข้าไปในห้องกับอี๋ฟาน
 

            “พี่อี๋ฟาน ล๊อคห้องสิครับ”

            “ครับ”

            “ไม่เหนื่อยเหรอ หืม?” เขาถามเสียงอบอุ่นแล้วลูบหัวผมเบาๆ

            “ไม่ครับ ยังไหว หยิบกีตาร์มาให้หน่อย ถุงมือด้วย” ผมบอกและชี้นิ้วออกไป

            “อ่า…”
 

            เขาเอาของทุกอย่างมาให้ผม ผมจัดการใส่ถึงมือไว้ท้องสองข้าง แล้วยืนขึ้น ยกกีตาร์ไว้
        
            “พี่ครับ ซื้อกีตาร์ให้ผมอีกได้ไหม”

            “อย่าได้แบบไหนล่ะ บอกมาสิเดี๋ยวซื้อให้”

            “แบบเดิมครับ เอาแบบนี้เลย”

            พลั๊ว !! พลั๊ว !! พลั๊ว !! พลั๊ว !! พลั๊ว !! …พลั๊ว !!

            “โอ๊ยยยยยยย !!! โอ๊ยยย!”

            กีตาร์มันเริ่มฟาดลงไปที่ลำตัวเขา

อุ่ก ตุ๊บ ตั๊บ เผล้งง พลั๊ว !!        พลั๊ว !! พลั๊ว !! พลั๊ว !!
 

            มือผมจับคอกีตาร์มั่นไว้สองมือแล้วฟาดมันลงไปที่หัวของเขา ทันทีที่มันปะทะเลือดก็นองออกจากหัวไหลออกมา ไม่ทันที่เขาจะได้ร้องอีก ผมถีบเข้าหน้าท้อง แล้วพาดต่อไม่ยั้ง จนนับไม่ได้ว่าพาดไปเท่าไหล่และลงไปตรงไหนบ้าง ผมรู่แค่ว่าโคตรสะใจเลย
 

            พลั๊ว !! พลั๊ว !! พลั๊ว !! พลั๊ว !! พลั๊ว !! พลั๊ว !! พลั๊ว !! พลั๊ว !! …พลั๊ว !!      
  

            “…”อี๋ฟานเงียบสนิท น่าจะเลยครึ่งชม.ที่ผมออกกำลังกายกลางดึก เขาสลบจมกองเลือดไปแล้ว กีตาร์แสนรักของผมที่เพิ่งได้มันมาก็หักแตกออกทั้งตัวพอดี รอยเลือดติดตามตัวกีตาร์ ผมคิดว่ายังไงพังแล้วคงไม่ต้องเช็ด คนรักแสนดีของผมก็ซื้อให้ผมใหม่อยู่ดี
 

            ผมจัดการเขียนโน้ตและวางมือถือที่เปิดเมลของนิกกี้ไว้ข้างๆ

            ‘ หายแล้ว อย่าลืมซื้อกีตาร์นะ’




 

            ผมเดินออกมาจากห้อง เพื่อมาเคาะห้องเควิน

            ก๊อก …ก๊อก …ก๊อก…

            “พี่เควินครับ พี่ครับ!”

            “ว่าไงยอล”

            “ผมจะไปนอนกับลู่หาน พี่ไปนอนเป็นเพื่อนอี๋ฟาหน่อยนะครับ”

            “มันโตแล้วทำไมพี่ต้องไปนอนล่ะครับ หืม?”

            “นะ ไปดูแค่แว่บเดียวก็ได้ นะครับ ฝันดีครับ”
 

            ผมเดินมาหาลู่หานที่ห้องแล้ว ซักพักเราสองคนมองที่หน้าต่างมองเห็นรถพยาบาลเข้ามา หามเอาคนเจ็บออกไป ลู่หานลากมือผมวิ่งออกมาดู พร้อมกับที่เห็นพ่อกับแม่รีบวิ่งลงมา
 

            “เกิดอะไรขึ้น ใครเป็นอะไรลูกชานยอล” แม่ผมถาม

            “อี๋ฟานตกบันไดน่ะครับ ผมให้เควินพาไปรพ.แล้ว ไม่เป็นอะไรมากหรอก” ^^;

 

                ขอโทษด้วยนะที่ผมทำอะไรไม่ได้เลย ได้เพียงแค่มองอยู่อย่างนี้ …หึหึ!
























 

G Minor!

bottom of page