top of page

        บทนำ

 

 

            ข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งในมนุษย์ปุถุชนที่กิเลสหนาอย่างหาที่สุดมิได้ แต่กิเลสของข้าพเจ้านั้นกับฝักใฝ่ต่างจากผู้คนทั่วไปอย่างหาที่เปรียบมิเจอ คนทั่วไปมองข้าพเจ้าในฐานะตัววุ่นวายของสังคม บ้างก็มองว่าข้าพเจ้าผู้สอดรู้สอดเห็นทางทฤษฎี บ้างก็ว่าข้าพเจ้าเป็นผู้ช่วยเหลือเยี่ยงมิตร แต่กรณีหลังนี้มีน้อยเหลือเกิน แต่ประการสำคัญข้าพเจ้าเป็นดั่งมิตรของตำรวจ พวกเขามักเรียนรู้การทำงานด้วยตัวเองเสมอจนเรื่องราวล่วงเลยมาถึงข้าพเจ้า พวกเขาจึงเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เหตุผลหนึ่งเพราะพวกเขาคิดว่าข้าพเจ้าเป็นพวกบ้าผลงาน นั่นเอง

            ข้าพเจ้าเกิดมาด้วยความแปลกประหลาด โดนมองจากสังคมเฉกเช่นความจริงดังนั้น เพราะข้าพเจ้ารู้เพียงแค่ตัวเองเป็นชนตะวันออก อาจจะจีนหรือญี่ปุ่น ซึ่งไม่อาจรู้ได้ (ข้าพเจ้าเคยแยกตัวอย่างทางสายเลือดของตัวเองแต่ก็มิสามารถพิสูจน์ได้) เพราะข้าพเจ้าเองเกิดและเติบโตดั่งสุนัขที่หลงทางในอังกฤษ ตั้งแต่เด็กจนโตได้รับอุปการะจากครอบครัวที่ค้าไม้ให้ชนชั้นสูง พวกผู้ดีในตระกูลเก่าแก่ เหล่าเศรษฐี เหล่าขุนนาง ข้าพเจ้าจึงอยู่โดยมิได้ลำบาก ครอบครัวที่ช่วยเหลือข้าพเจ้ามีฐานะร่ำรวย ข้าพเจ้าจึงมีโอกาสได้เรียนสูงกว่าชนชั้นทาสตะวันออกที่มีอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้ แต่ข้าพเจ้าก็หนีไม่พ้นคำเรียกข้าพเจ้าว่าสุนัขหลงฝูงอยู่ดี

            เมื่อข้าพเจ้าเป็นแบบนั้น ข้าพเจ้าก็ต้องอยู่ให้ได้อย่างจ่าฝูงที่ไม่ต้องแย่งเศษอาหารให้หิวโหยอีกต่อไป ความสามารถเท่านั้นที่ข้าพเจ้าจะทำมันให้เหนือกว่าผู้อื่นได้ เมื่อถูกหยิบยื่นโอกาสข้าพเจ้าจึงคว้ามันอย่างไม่ลังเล เหมือนฟ้าประทานทางรอดมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีสิ่งที่ผู้อื่นไม่มีในหลายข้อ ทั้งสมองไหวพริบและความคิดที่ข้าพเจ้าฝึกฝนมันด้วยตัวเองจนสามารถใช้เป็นอาวุธได้ ข้าพเจ้าในตอนนี้ก็สามารถอยู่ด้วยตนเองได้อย่างสุขสบายแล้ว

            เมื่อผู้อุปการะข้าพเจ้าจากไป ทิ้งมรดกส่วนหนึ่งไว้ให้ข้าพเจ้าและพี่ชายต่างสายเลือด เราจึงต้องสานต่อกิจการ พี่ชายของข้าพเจ้าดูแลกิจการทั้งหมด แต่ข้าพเจ้าไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยวเอง ทั้งที่เขาก็อ้อนวอนข้าพเจ้าแล้ว เหตุเพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าพเจ้าถนัด พรสวรรค์ของข้าพเจ้าจะถูกนำไปใช้ในเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง  ข้าพเจ้าในวัย 25 ปีในตอนนี้ทำงานอิสระเรียกตัวเองว่านักสืบเอกชน มีสำนักงานภายในที่พัก ที่มีคนมาแวะเวียนไม่ขาดสาย พี่ชายของข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้จึงไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวเช่นกัน

            ตั้งแต่อายุ 19 ที่ข้าพเจ้าเรียนจบวุฒิบัณฑิตขั้นสูงสุด ข้าพเจ้าก็เริ่มงานนี้อย่างจริงจัง แต่ประสบการณ์ของข้าพเจ้าก็พอมีอยู่บ้างแล้ว เพื่อนในวงเหล้าของข้าพเจ้าจึงมีแตกต่างกันหลายกลุ่ม อย่างวันนี้ข้าพเจ้าต้องไปพบกับเขาคนหนึ่งที่นัดให้ออกไปสังสรรค์และเพื่อแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นานแล้วที่เราไม่ได้พบเจอกันอีกเลย เพื่อนเกลอข้าพเจ้าเป็นคนมีความสามารถเป็นถึงเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ใน สก๊อตแลนด์ยาร์ด เราคบหากันมาตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเป็นแค่เด็กหนุ่มรักการศึกษา เวลาผ่านเลยไปเราก็ผูกมิตรเป็นเกลอรัก เพราะข้าพเจ้าช่วยเขาไว้หลายครั้งในการทำคดียากๆหลายคดี หลายปีมานี้เราจึงผูกพันกันอย่างแนบแน่น

            เวลาเดินล่วงเลยจนชวนเจียนเวลานัด ถึงเวลาที่ต้องพึ่งรถม้าเมื่อเราเดินทางช้ากว่าปกติ (ต่อจากนี้ของคำแทนด้วยว่า ผม ก็แล้วกันถือว่าเราสนิทกันดีแล้ว) ผมโดดขึ้นรถม้ารับจ้างของชายชราคนหนึ่งที่ขับผ่านมาหน้าบ้าน โดยโยนเหรียญให้ไปพร้อมบอกปลายทางที่ผมต้องไปถึงตามเวลานัด

            เมื่อมาถึงร้านสังสรรค์ตามที่นัดหมายบรรยากาศคึกคักเต็มไปด้วยชนชั้นผู้ดีมากมาย อยู่ร่ายล้อม บริกรหนุ่มหน้าร้านสองคนก็เชื้อเชิญแขกเข้าไปภายในร้าน

             “เชิญครับคุณสุภาพสตรี...”ผมเดินเข้ามาเฉิดฉายด้านในหมุนตัวเล็กน้อยก็เดินไปยังเป้าหมายที่รอผมอยู่แล้ว

            ผมเดินไปยังผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งดื่มอยู่คนเดียวบริเวณมุมสงบของร้าน คนรอบข้างแอบมองเขาน้อยๆเพราะรู้ว่าเขาเป็นใคร ถึงจะอายุมากขึ้นแล้วก็ตามแต่ความภูมิฐานและสง่างามสมกับบรรดาศักดิ์เขาจึงเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจมากอยู่ สำหรับผมเขามีนิสัยส่วนตัวเรียบง่าย ใจเย็น ความสามารถทางสายอาชีพก็หายตัวจับยาก อีกนัยต์หนึ่งเขาก็เปรียบเหมือนครูของผม

            “เพื่อนเอ๋ย...ยากจะเดานักที่จะเห็นเพื่อนมาจบเจอกันในสภาพเช่นนี้”

            “เป็นการพบเจอที่ดีจริงไหม”ผมยื่นหลังมือให้เขาจุมพิต เขาลังเลที่จะกดปากลงไป นั่นสร้างความขบขันให้แก่ผม

            “แน่นอนได้พบเพื่อนเกลอเราต่างก็ยินดี”

            “เรียกออกมาแบบนี้ มีเรื่องอะไรหรือ เพื่อนได้ตามข่าวอยู่บ้างช่วงนี้เงียบสนิทจนแมลงบินว่อนล่อหน้าไปมา” ผมนอนอาบแดดอยู่ชานบ้านเช่าแถบคนจนในคาบสาวนางหนึ่งเพื่อบางอย่าง หมวกใบใหญ่ที่ซื้อมามันกลับล่อแมลงโดดเด่นเบ่งบาน

            “ป่าวหรอกก็เรื่องลูกชายของฉันอย่างไรเล่า ตอนนี้เขาเรียนจบเป็นตำรวจหนุ่มได้สามปีแล้วตำแหน่งก็โตเอาการ”

            “วางใจได้แล้วสิ ดื่มเถอะเพื่อนเอย”

            ผมยื่นแก้วกระทบกับเพื่อนรักยินดีกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขามีลูกชายเพียงคนเดียวที่รุ่นราวคราวเดียวกับผม ผมก็ไม่เคยได้พบปะหน้าตาทำความคุ้นเคยอะไร เราต่างคนต่างอยู่ทำหน้าที่ของตนเอง

            “ยังมีเรื่องที่เพื่อนอยากขอร้องให้เพื่อนช่วยเหลือ โปรดพิจารณาด้วยเถิดเกลอรัก”

            “พูดทางการขนาดนี้คงปฏิเสธไม่ได้ ฮ่าๆๆ บอกมาเถิด ผมทำอะไรได้ผมจะทำ”

            “คดีของเราตอนนี้เป็นคดีใหญ่ปิดเงียบค้างไว้นับสิบเดือน” เขาดึงแขนผมให้เอนตัวไปกระซิบ “คดีตำรวจถูกกดน้ำตายหลายรายเริ่มที่แถบชนบทขยายเข้ามาเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ในเขตเบิร์ลสโตน เราตามพวกแกงค์ฆาตกรลูกโซ่หลายแกงค์ในเมืองใหญ่แต่ก็ไร้ข่าวคนที่ทำ มันลงมือกันอย่าเงียบเฉียบ”

            ผมจับแขนเขาไว้เมื่อมาถึงช่วงนี้ “เกี่ยวอะไรกับลูกชายของท่าน”

            “เขาเข้ามารับคดีนี้ไปทำ ฝีมืออาจจะยังไม่พอจะทำดอกเพื่อนเอย เพราะตำแหน่งของฉัน เขาจึงทะนงตัวอยากจะทำมัน”

            “แล้วจะให้ช่วยอะไรเล่า พูดมาเสียทีเถิด”

            “เป็นผู้ช่วยเขาในงานนี้”

            “ตกลงตามนี้” ผมรับปากทันที

            “เพื่อนจะให้เขาเข้าไปหาเร็วๆนี้”

            “ตามสะดวกเถอะเพื่อนเอย”

            ผมหลับตาสูดดมไวน์ในแก้ว ดื่มด่ำกับรสเลิศสัมผัสลิ้นอมไว้ให้ชุ่มก่อนปล่อยให้ไหลลงคอ ไวน์เก่าแก่และเนื้อแกะย่างเกริมรสเลิศยามนี้ บทเพลงจากไวโอลีนที่เสียดสีได้อย่างไพเราะ ตัวโน๊ตส่งเสียงบรรเลงมาเกิดเป็นภาพในสมองเหมือนผมได้ลงมือเล่นบทเพลงนั้นเอง เวลาผ่านไปก็เนินนานครึ่งคืนผ่านไปแล้ว เวลาบอกลาของเรามาถึงเสียที

            “เจอกันครั้งหน้าหวังว่าเราจะเจอกันเยี่ยงเพื่อนพบปะกันอย่างปกติ”

            ผมหัวเราะกับคำกระทบกระเทียบนั้น แล้วโค้งบอกลา

           

            กลับมาถึงบ้าน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา ผมจึงเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง ยืนมองกระจกอยู่พักใหญ่ทำเหมือนกับก่อนออกไปที่มองไปแล้วพักหนึ่งเพื่อจับผิดตัวเองกับการปลอมแปลงกายในวันนี้ ภาพที่สะท้อนในกระจกคือ สาวเอเชียดวงตาสีดำในตาชั้นเดียวและนัยต์ดวงตาสีดำสนิทสวมชุดชนชั้นมีอันจะกินในลอนดอนหมวกตาข่ายปิดหน้ามีลูกไม้สีดำตกแต่งกับเสื้อคอสูงคอบานน้อยๆแขนฟองฟู่เป็นพุ่มใหญ่เข้ากับรอบเอวของเสื้อที่บานรับกระโปรงทรงสุ่มยาวลุ่มล่าม รูปร่างของหล่อนเหมาะจะเป็นผู้หญิงตะวันตกได้สะบายเพราะความได้เปรียบของชายฝั่งตะวันออก ไหล่ รอบแขน รอบเอว เรียวขา ข้อเท้า สะโพก สาวตะวันตกก็หาจะสู้ได้ไม่ เมื่อสำรวจทุกอย่างดีแล้ว ผมก็เริ่มลอกกาย ถอดร่างออก ทั้งรองเท้าส้นสูง หมวกผู้หญิงชั้นสูงระบายปิดหน้า วิกผม ชุดกระโปรงสุ่มเปิดไหล่กว้าง ถุงน่อง ฟองน้ำที่มาแปะไว้บนอก เส้นสายโยงยาง ต่างๆแผงระบาย ราวครึ่งชม.ผมก็ถอดทุกสิ่งออกจากร่างกายจนหมด ต่อมาก็ต้องมานั่งเช็ดสีแต่งแต้มออกจากใบหน้า เฮ้อ...การออกไปพบเพื่อนครั้งนี้ช่างบันเทิงเสียจริงน๋อ

            เหตุที่ผมต้องแต่งหญิงระยะนี้นั้น มันเริ่มต้นมาตั้งแต่ผมถูกสะกดรอบตามหลายครั้ง สืบรู้ครั้งหนึ่งว่าเป็นตำรวจ และอีกหลายครั้งในสัปดาห์ต่อมาว่าเป็นพวกที่ผมไม่รู้จัก จากนั้นผมจึงปล่อยข่าวว่าตนเองมีคู่หมั้น มีหญิงสาวจะแต่งงานด้วย ผมจึงต้องเช่าบ้านในแถบคนจนเพื่อเป็นที่อยู่ของผู้หญิงตะวันออกคนนี้ ไปๆมาๆระหว่างบ้านและที่นั่น ไม่มีคนสงสัยหรือตามผมอีก ในเมื่อผมไม่ออกจากบ้าน แต่มันก็เป็นเรื่องยากที่จะติดต่อสื่อสารอยู่ดี ผมจึงสืบเรื่องต่างๆได้เท่าที่พาร่างเธอไปไหนต่อไหนได้สะดวกเท่าที่จำเป็น หล่อนเป็นเพียงร่างชนชั้นต่ำของผม ผมจึงทำหล่อนอีกหลายคนเพื่อนชนชั้นต่อมา ผมในร่างชายจึงดูเหมือนหนุ่มเจ้าสำราญในเรื่องอย่างว่าในละแวกนี้ไป เมื่อหญิงสาวสลับกันเข้าบ้านมาไม่ขาด

            ห้องทำงานเวลานี้พร้อมแล้วที่จะให้ผมอ่านหนังสือสักสับเล่มที่นำกลับมาทบทวนก่อนนอน คดีที่เพื่อนของผมบอกก็หมายความว่าเขาอยากให้ผมช่วยนัยต์ๆไปด้วย ไม่ใช่เพียงขอความช่วยเหลือให้ลูกชายเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องของตำรวจหนังสือพิมพ์ต่างๆก็ต้องปิดข่าว ผมรู้เพียงแค่เหตุจมน้ำตายจากหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้น แต่มันก็มากพอที่ผมจะตามสืบไว้แล้ว

            หลักฐานต่างๆยังไม่มี มีเพียงการตั้งสมมุติฐานเท่านั้น ศพที่ผมยังไม่ทันจะได้เห็นและต้องได้เห็นในเร็วๆนี้จะบอกทุกอย่างได้มากขึ้น มันน่าจะเกี่ยวข้องว่าทำไมผมถึงโดนสะกดรอบตามไปด้วย หลังจากคนพวกนั้นลดละการสะกดรอยตามแล้วนั้น การสำรวจวนรอบบ้านเดินไปเดินมาตามทางของพวกมันเพื่อประเมินค่าคนร้ายของผมก็ได้อะไรบางอย่าง พวกมันเดินตามทางยาวนับร้อยเกือบสองร้อยก้าวตามรอยรองเท้ามีชายสองคนที่มาด้วยกัน ขี้ดินเลนๆติดบ่งบอกว่าพวกนั้นมาจากแหล่งคนจนในแถบชานเมืองไกลจนน่าจะเป็นชานแดนโน้นแล้ว พวกนั้นเป็นพวกรับจ้างฆ่า ไม่มีกลิ่นเม่าปืนหรือกลิ่นคราวปลาพวกนี้ห่างไกลกับท่าเรือ ผมเดินตามต่อไปอีกรอยเท้านั้นไปเรื่อยๆ นับทั้งหมดก่อนหมดรอย 148 ก้าว มันหายไปจากตรงนั้นเฉยๆด้านบนเป็นหลังคาไม้ตกมาสองสามแผ่น พวกมันเป็นมืออาชีพ เตรียมการหนีล่วงหน้าก่อนสะกดรอบผมถึงบ้าน

            หลังจากวันนั้นผมไม่ออกจากบ้านและทำหุ่นไว้โต๊ะทำงานด้านนอก ส่งไฟให้มองเห็นว่าผมยังอยู่แบบนั้นตรงตามเวลาทุกวัน พวกมันก็เริ่มห่างหาย มันต้องการปิดข่าวที่เกิดขึ้นกับผม ไม่อยากให้ติดต่อกับพวกตำรวจ ข้อนี้เห็นได้ชัดว่ามันรู้จักผมพอตัวแน่ๆ ประวัติคงถูกค้นออกมาบ้างแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องหน้ากังวล

            ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อแขกมาทักทายเราถึงบ้าน ผมก็ยินดีเปิดบ้านรับด้วยความเต็มใจเยี่ยงญาติมิตรและเพื่อนเกลอ ผมจะได้ข้อมูลเรื่องนี้ทั้งหมดจากสารวัตรใหญ่ลูกชายของเพื่อน ...ผมลืมเรื่องนี้ไปสะสนิทเลย ลูกชายเพื่อนผม ผมต้องช่วยเขาเรื่องคดีนี้ อย่างน้อยก็น่าจะเตรียมคดีเก่าๆไว้ให้เขาได้อ่านก่อน ทดสอบความรู้และอารมณ์วันละ 40 เล่มก็คงพอ

            วันนี้พอแค่นี้ก่อนเวลาล่วงเลยจวนเจียนแสงยามเช้าเข้ามาทัก ถึงเวลาพักสายตาเสียที

 

....................................................................

 

 

“...แม้แต่ช่วงเวลาของดวงอาทิตย์อับแสงหายวับเพื่อบอกลา ชุดราตรีสีส้มทองก็ยังห่มท้องนภาไว้ได้อย่างสง่างาม ...”

 

 

 

 

 

bottom of page