top of page

กฎข้อที่ 16 การย้อนกลับ

 

            ภายในห้องรับรองแขกของบ้านชานยอล ผมนั่งอยู่ตรงกลางพอดี ตรงหน้าผมคือคุณพ่อของเขา ความกดดันทิ่มแมงมาที่ผมทันที แต่ผมก็สมควรโดนแล้วล่ะ ผมทำอะไรกับชานยอลไว้เยอะจริงๆ ไม่ว่ามันจะเริ่มหรือจบยังไง นี่คือการเผชิญหน้าต่อครอบครัวของคนที่ผมรัก ผมพร้อม
 

            “ประธานอู๋ ผมมีลูกชายเพียงคนเดียว ผมไม่สามารถปล่อยผ่านสิ่งที่เพิ่งรับรู้ไปไม่ได้ ตอบคำถามผมต่อจากนี้อย่างตรงไปตรงมา”การพูดของพ่อชานยอลเปลี่ยนไปเป็นอีกคน ท่านเริ่มแล้ว

            “ครับ”

            “เลิกรากันไปหรือยัง”

            “ยังครับ” ผมตอบจากใจของผม

            “ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง”

            “ผมกับชานยอลใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาพักหนึ่งครับ ก่อนที่ผมจะกลับไปรับตำแหน่งประธานและดูแลกิจการทุกอย่าง โดยที่ช่วงนั้นผมไม่ได้ติดต่อกับเขาเลย ความผิดเป็นเพราะผมเอง” ผมไม่กล้าบอกเรื่องที่ผมทำกับลูกชายเขาไว้ ไม่ใช่เพราะผมกลัวความผิด

            “อยู่ด้วยกัน คุณหมายถึงที่ห้องพักลูกชายผมที่เกาหลี อย่างนั้นเหรอ”

            “ครับ ผมมาอยู่เกาหลี”

            “ผมรู้ประวัติคุณมาพอสมควร ผมบอกตามตรง ผมไม่ชอบผู้ชายแบบคุณ ลูกผมควรเจอกับคนที่เหมาะกับเขา”
 

            ผมนั่งก้มหน้า ฟังเงียบๆ
 

            “ชานยอลเป็นผู้ชายที่ดีถ้าเขาเลือกจะแต่งงานมีครอบครัวในฐานะผู้ชายคนหนึ่งต่อไป แล้วคุณเองก็เป็นถึงประธานเครือบริษัทมหาอำนาจ เมื่อลูกผมขึ้นเป็นประธานทางการเงินเหมือนกัน คุณบอกผมสิว่าจะใช้ชีวิตคู่เพื่อดูแลกันต่อไปยังไง”

            “ผมไม่รู้ครับ ผมตอบไม่ได้จริงๆ ถ้าผมต้องลงจากตำแหน่งประธานเพื่อชานยอลผมยอมครับ ถ้าผมเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีความรับผิดชอบ แต่ถึงจุดนี้ต่อให้ผมต้องรักเขาไปแบบนี้แต่ไม่มีเขาอยู่ข้างกาย ผมก็ต้องรับผิดชอบคนของผมทั้งหมดต่อไป”

            “งั้นก็แปลว่าไม่จำเป็นต้องอยู่กับลูกชายผมก็ได้ใช่ไหม”

            “ถ้าจากเหตุผลทางธุรกิจใช่ครับ แต่ถ้าตามความรู้สึกของผม ไม่! ผมไม่มีวันปล่อยคนรักตัวเองไปแน่นอน”

            “ถ้าอย่างนั้น ก็รอฟังคำตอบลูกชายของผมเถอะ”



 

            คุณพ่อของชานยอลให้มายืนอยู่ด้านหลังฉากสูงที่เหมือนเป็นชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ ผมไม่รู้ว่าผมต้องทำอะไรต่อไป ผ่านไปซักพักใหญ่ๆที่ผมยืนอยู่กับความคิดตัวเองเงียบๆ ผมก็ได้ยินเสียงชานยอลเข้ามา
 

            “แกออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองมาห้าปี ไม่เข้ามาเหยียบบ้านซักก้าวเดียว พ่อไม่เคยถามแกเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย แต่เรื่องนี้แกต้องตอบพ่อมาตอบตรง”

            “ครับพ่อ ถามมาได้เลย”

            “ไอ้ผู้ชายไม่เอาไหนพันธ์นั้น นอกจากธุรกิจของแม่ที่มีไว้ให้แกเห็นอะไรในตัวมัน”
 

            จุก! ... เข้ากลางใจเลยครับ
 

            “เขาไม่มีอะไรดีเลยครับ ขี้โมโห ใจร้อน ขี้บ่น เอาแต่ใจ เห็นเรื่องตัวเองเป็นใหญ่ ใช้อารมณ์เหนือเหตุผล ทุกอย่างมันไม่ใช่แบบที่ผมต้องการเลย”
 

            มือผมกุมหัวใจตัวเองแน่น ผมเป็นแบบนั้นจริงๆ ชานยอลพูดถูกทุกอย่าง นั่นสิผมไม่มีอะไรดีเลย
 

            “งั้นแกก็คิดจะเลิกรากับมันจริงๆใช่ไหม”

            “สิ่งที่เขาเป็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องอะไร มันจะเกิดขึ้นเพราะผมและจบที่ผมเสมอ สำหรับเขา ผมสำคัญกว่าเรื่องพวกนั้น เขาจะไม่ใจร้อนถ้าผมกุมมือเขาไว้ จะไม่ดื้อใส่ใครถ้าผมเป็นคนดูแลเขาเอง จะไม่อาระวาดหรือโมโหถ้าผมขอให้เขาหยุด ถึงจะเอาแต่ใจเขาก็เอาใจผมก่อนเสมอ ส่วนเรื่องขี้บ่นไปบ้างก็ตามสบาย ผมว่ามันน่ารักดี พ่อว่าผมจะเลิกกับเขาเหรอครับ”
 

            น้ำตาร่วงเลยครับ...ผมปาดน้ำตาบนหน้าตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่ ความรู้สึกของผมที่อัดอั้นมานานตลอดหนึ่งปี ปนเปผสมกันอยู่ ตอนนี้มันหยุดแล้ว ชานยอลรักผมมาก ผมรู้แล้ว เขารักผมที่สุด ผมไม่เคยรู้เลย ผมโง่มากจริงๆ
 

            “แกอยู่กับมันมานานหรือยัง”

            “อยู่ด้วยกันแค่สามเดือนครับ เมื่อปีก่อน”

            “แล้วแกหายไปไหนมาหนึ่งปี”
 

            ชานยอลไม่ได้กลับมาอยู่บ้านงั้นเหรอ เควินโกหกผม แล้วเขาหายไปไหน
 

            “หลังจากมีเรื่องเข้าใจผิดกับนิดหน่อย ผม…ผมต้องเข้ารับการรักษาครับพ่อ”

            “ที่ไหน เป็นอะไร บอกมาตามตรงมันทำอะไร อย่าให้พ่อรู้เอง”
 

            ชานยอลเงียบไปพักใหญ่ …ผมอยากเดินออกไปบอกพ่อของเขาเองมากกว่า ผมทนให้ชานยอลต้องมาแบกรับเรื่องที่ผมทำไม่ไหวอีกแล้ว ขาผมกำลังจะก้าวออกไป
 

            “ความสัมพันธ์ของเขากับผมในฐานะแฟน ผมเป็นของเขามาตลอด จนเป็นเรื่องปกติ เอ่อ…แต่ครั้งนั้นมันมาจากอารมณ์ของเขาเราเข้าใจผิดกันรุนแรง ผมไม่ยอม มันเลยเกิดขึ้น พ่อครับผมไม่เป็นอะไรแล้ว ผมรู้ว่าพ่อรู้สึกยังไง ผมขอโทษครับ”
 

            เขาปกป้องผมไว้ด้วยคำโกหก เกิดความเงียบที่ยาวนานระหว่างชานยอลกับพ่อ และผม  …คำเดียวที่บ่งบอกตัวผมคือ เลวว่ะ
 

            “ยังสามารถใช้ชีวิตแบบลูกผู้ชายได้ไหม”

            “พ่อครับ ผมเป็นลูกผู้ชายเสมอ ผมก็ผู้ชายคนหนึ่งปกติครับ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย”

            “งั้นไปแต่งงานกับผู้หญิงซักคนสะ อย่าไปเป็นของคนแบบนั้นเลย”

            “ขอโทษนะครับพ่อ ผมทำไม่ได้ ผมคิดว่าผมจะไม่แต่งงานแล้ว”

            “รักมันมากไหม”

            “…”
 

            ผมไม่ได้ยินคำตอบของชานยอล แต่ผมมั่นใจว่าผมรู้แล้ว
 

            “เฮ้อ …คงได้มันเป็นเขยจริงๆสะแล้ว”

            “พ่อครับ…อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ อี๋ฟานเป็นได้แค่นี้ก็ดีมากพอสำหรับผมแล้ว”

            “แกไปนอนได้ล่ะ พ่อขอทำธุระอีกซักพัก”

            “ครับ ฝันดีครับพ่อ”
 

            เหมือนชานยอลจะออกไปแล้ว ผมสุ่มเดินออกมาเงียบๆ แล้วหยุดอยู่ด้านข้างของคุณพ่อของเขา
 

            “ถ้าเป็นไปได้ชั้นก็ไม่อยากให้เป็นนายหรอก แต่ชั้นเคารพการตัดสินใจของลูกตัวเอง ไปนอนสะ พักให้สบาย”

            “ขอบคุณครับ”

            “พรุ่งนี้ตอนเย็นยกเหล้ามากราบเข้าบ้านปาร์คตามธรรมเนียมเขยเกาหลีสะ ส่วนเรื่องง้องอนกันก็ไปตกลงกับลูกชายชั้นเอง”
 

            ผมก้มทำความเคารพคุณพ่อของชานยอลอย่างนับถือที่สุด ชานยอลเหมือนพ่อนี่เอง ผมแม่ง…ไม่ได้เรื่องจริงๆ

           

           





 

            ///

            รู้สึกโล่งดีเหมือนกันนะ หลังจากได้คุยกับพ่อตัวเองตรงๆ บอกทุกเรื่องไปหมดแล้วถึงจะโกหกไปบ้าง ผมไม่รู้ว่าอี๋ฟานจะตอบพ่อผมยังไง แต่มันคงไม่มีอะไรร้ายแรงมากเท่าไหร่หรอก ในเมื่อครอบครัวของผมเคารพกันและกันเสมอ ผมรู้ว่าพ่อจะเคารพการตัดสินใจของผม ผมแสดงออกชักเจนว่าผมเลือกหมอนั่น ถึงพ่อผิดหวังไปบ้าง แต่ผมไม่ชอบการโกหกตัวเองอยู่แล้ว ผมต้องทำดีกับพ่อให้มากๆ เพื่อสำนึกผิดในเรื่องนี้
 

            ผมกำลังจะเดินกลับไปห้องตัวเองแต่ผมเห็นเพื่อนของอี๋ฟานยืนอยู่คนเดียว คงเป็นห่วงหมอนั่นสินะ ผมน่าจะเข้าไปทักในฐานะเจ้าของบ้านที่ดี
 

            “ลู่หานทำไมมายืนคนเดียวล่ะครับ”

            “อยากคุยกับนายหน่อยจะได้ไหม”

            “ได้สิครับ”

            “ไปคุยที่ห้องนายนะ”

            “ครับ เข้ามาสิ”
 

            ผมเดินนำเข้ามาในห้องตัวเอง ลู่หานยิ้มให้ผม ผมยิ้มกลับไปให้เขา รอยยิ้มน่ารักๆของเขากับใบหน้าหวาน มันดูน่ารักดีจัง ไม่ว่าเขาอยากจะคุยอะไรผมจะตอบเขาตรงๆ ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นมิตรระหว่างเรา
 

            “ไม่ได้จะมาคุยเรื่องของอี๋ฟานหรอกนะ”

            “อื้ม ก็ดีเหมือนกันเบื่อเรื่องหมอนี่แล้ว”

            “ฮ่าๆๆ โชคร้ายจังนะที่เจอคนแบบหมอนั่นมารักน่ะ”

            “โชคร้ายมากกว่าที่รักคนแบบหมอนั่น”

            “ฮ่าๆๆๆๆๆ”

            “ฮ่าๆๆๆๆๆ”

            “ทำไมเป็นคนเด็ดเดียวนักล่ะ ทำไมไม่หนีไปให้ไกลๆ ทำไมไม่เลือกจะทิ้งมันไปสะ”
 

            ลู่หานคงรู้แล้วว่าผมต้องเจออะไรมาบ้าง
 

            “ก็คิดจะหนีเหมือนกันนะ แต่ไม่อยากเสียใจทีหลัง เลยคิดสะว่ามันก็แค่เรื่องเล็กที่เราอาจจะผ่านไปได้ แล้วอะไรที่ผ่านไปก็ไม่ติดใจกับมันอีกแล้ว”

            “ถ้านายไม่มีหมอนั่น นายคือคนที่ชั้นอยากใช้ชีวิตด้วยเลยนะเนี่ย”

            “อ่า…พูดแบบนี้ผมยิงอี๋ฟานให้ตายเลยดีไหม นายน่ารักกว่าเขาตั้งเยอะ”

            “ฮ่าๆๆ กลัวว่าปืนก็ยิงไม่ตายน่ะสิ”

            “นั่นสินะ”
 

            เรานั่งคุยกันเรื่องต่างๆเพื่อทำความรู้จักกันให้มากขึ้น จนเกือบสว่าง ผมเลยขอให้ลู่หานนอนที่ห้องผมเพราะมันก็เหมือนเป็นแบบนั้นไปแล้ว เขาก็ไม่ได้ขัดข้อง ผมมีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน เราเข้ากันได้ดี ในหลายๆ ลู่หานไม่ได้ปิดบังผมเรื่องที่เขาเคยเป็นแฟนเก่าของอี๋ฟาน ผมรู้สึกขอบคุณ ที่บอกมาตามตรง เพราะถ้าเป็นผมก็ทำแบบนั้น มันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่จบไปแล้วต่อให้วันข้างหน้าผมจะไม่โกรธรู้สึกอะไรก็จริง แต่การเปิดใจคุยกันมันคือเรื่องที่ผมชอบมากกว่า อย่างน้อยเราก็น่าจะมีความเป็นลูกชาย ซื่อสัตย์กับตัวเองและคนอื่นให้มาก
 

            หลังจากนอนดึกมากเมื่อคืน ผมและลู่หานตื่นสายกันทั้งคู่ ลู่หานที่นอนข้างๆผมยังไม่ตื่น ผมบิดขี้เกียจบนเตียง แล้วขยี้ตาตัวเองให้ความง่วงหายไป เขาหันมามองผมตาแป๋วยิ้มหวานมาให้ ผมเอนตัวลงนอนต่อ หันหน้าไปคุยกับเขา
 

            “เช้านี้เป็นไง”

            “ก็น่าจะดีนะ มันใกล้เที่ยงแล้วล่ะ” ผมตอบ

            เราหัวเราะให้กัน เขาดึงผ้าห่มมาคุมหัวเราทั้งคู่ นั่นสินะ …นอนต่ออีกหน่อยเถอะ!







 




 

 

G Minor!

bottom of page