top of page

กฎข้อที่ 12 แรงขนาน
 

 

 

เช้าอีกวันที่ผมยังต้องเจอหน้าเขาอยู่ ความจริงคือผมตื่นขึ้นมานานแล้ว แต่เรื่องโกหกคือผมแกล้งหลับอยู่ เพราะไม่อยากเห็นหน้าหรือได้ยินเสียงเขาอีก อีกไม่กี่ชม.เท่านั้นเขาก็จะไปจากชีวิตผมแล้ว ผมก็แค่รอให้แม่ของเขามาถึง ผมไม่แคร์อะไรอีกแล้ว ถ้าเขาจะรู้ว่าผมรู้ความจริงมาโดยตลอดว่าเขาคือใคร ผมไม่ได้ทำผิดอะไร ที่ไม่บอกก็แค่ยังรักษาน้ำใจเขาไว้เท่านั้น ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าการเข้าช่วยเหลือใครซักคนผลของมันจะเป็นแบบนี้ ผมก็ต้องยอมรับความจริงและมองอะไรให้กว้างขึ้นเท่านั้นเอง
 

สภาพร่างกายของผมตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ผมคิดว่ามันเป็นแบบนั้น ร่างกายก็มีวิธีเยียวยารักษาตัวมันเอง ผมก็ควรจะมีสมองไว้รักษาหัวใจผมเหมือนกัน แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกจริงไหม ความจริงก็คือความจริง ทำไมเราต้องหนีมัน เพราะมันยังคงอยู่กับตัวเราอยู่ดี ผมนอนคิดมาทั้งคืนแล้ว ผมควรเรียนรู้กับมันแล้วผลักใสสิ่งที่ทำร้ายชีวิตเราออกไป ความรู้สึกมันอีกเรื่องหนึ่งก็จริงแต่ซักวันความรู้สึกจะกลายเป็นความทรงจำไปเอง
 

ตอนเด็กผมเรียนรู้เรื่องพวกนี้จากสัตว์เลี้ยงที่จากผมไป ผมคิดว่าชีวิตนี้จะไม่มีทางลืมความเจ็บนั้นที่ผมร้องไห้ออกมา แต่ตอนนี้ผมก็คิดถึงมันได้โดยไม่เจ็บปวด เรื่องนี้ก็เหมือนกันซักวันผมก็จะจำได้แค่ใบหน้าของคนที่ผมเคยรู้จักว่าเขาคือใคร ถึงจะจำได้ว่าเขาเคยทำอะไรไว้กับผม แต่ความรู้สึกที่ผมรับรู้และเจ็บปวดอยู่ตอนนี้มันก็จะเบาบางลงไปเองตามกาลเวลา สิ่งที่ผมต้องการตอนนี้คือเวลาและการรักษาเท่านั้น
 

แกร็ก… เขาคงเดินออกมาจากห้องนอนของเขาแล้ว หลังออกจากห้องน้ำเมื่อคืน ผมไม่ได้กลับเข้าไปข้างใน เตียงของผมเต็มไปด้วยหนังสือ ผมเลยเลือกที่จะนอนโซฟาด้านนอก ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้มือเขาจับมาที่ข้อเท้าผม คงเพราะเมื่อคืนผ้าพันแผลที่เขาพันไว้ให้ตอนผมหลับไปมันเปียกน้ำแล้วหลุดออกมา ผมไม่ได้ทำแผลใหม่ตอนออกจากห้องน้ำ แผลที่เกิดขึ้นเป็นแค่รอยบากเล็กๆจากเชื่อที่รัดไว้ ผมผิดเองที่ดิ้นรนเอาตัวรอด หึ เพราะยังไงผมก็ไม่รอด เขาวางข้อเท้าผมลงเหมือนเดิมน่าจะทำแผลเสร็จแล้ว
 

“ชานยอล…” เสียงเรียกอย่างอ่อนโยนและแรงกดจากปลายจมูกแสนนุ่มนวลที่เขาหยิบยืนมาให้ผมทุกเช้า วันนี้ก็เหมือนกัน
 

ผมควรจะบอกเขาก่อนเรื่องที่ผมปิดบังไว้ในส่วนของผมก่อนที่เขาจะไปใช่ไหม เพราะอย่างน้อยมันอยู่ในความรับผิดชอบของผมเอง เราผิดเราก็ต้องแก้ไขมันให้เรียบร้อยก่อนเรื่องจะจบไป มันใกล้จบแล้วผมควรทำ
 

“อี๋ฟาน” ผมลืมตาขึ้นมามองไปที่เขา

“ในที่สุดนายก็เรียกชื่อนี้ออกมานะ” เขาพูดแบบนี้คือรู้อยู่แล้วสินะ
 

แสดงว่าผมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว ผมเบนสายตาหนีแล้วหลับตาลงอีกครั้ง พอกันที! คนอะไรใจดำที่สุดเลยนะ ทำกันได้ขนาดนี้ แค่ไม่รู้ความจริงเท่านั้นเองเหรอ เหตุผลที่ผมคิดว่าเขาอยากได้ผมแค่นั้น มันก็เจ็บมากพอแล้วนะ แต่ตอนนี้มันเจ็บยิ่งกว่าที่เขาไม่ถามผมออกมาเอง ทั้งที่ผมอยู่ตรงหน้าเขาเสมอ
 

“ลืมตามาคุยกันก่อนได้ไหม” เขาลูบหัวผมเบาๆ

“…” ผมไม่คิดว่าเราจำเป็นต้องคุย

“ชานยอล …รู้ไหม ถึงนายจะเป็นลูกน้องของแม่ชั้น ชั้นก็จะอยู่กับนายให้ได้” เขากดจูบมาที่หน้าผากผม “ให้ชั้นรับผิดชอบในสิ่งที่ทำนะ…”
 

อ่า…ผมยันตัวขึ้นนั่ง มองไปที่เขา น้ำตาใสๆไหลออกจาดวงตาของผม ผมบังคับมันไม่อยู่อีกแล้ว ผมทนไม่ไหวแล้ว ผมไม่เคยอายที่จะร้องไห้ต่อหน้าใคร แต่ไม่เคยอยากให้ใครเจ็บปวดจากน้ำตาของผม แต่ตอนนี้ ความรู้สึกเจ็บจากหัวใจของผมมันบังคับให้น้ำตาไหลออกมา ‘ฮึก …ฮึก ….อ่า ฮึก …’ มือผมหมัดแน่น แรงสะอื้นทำให้ตัวผมสั่นเทา
 

“ไปสะ …ออกไปสะ ไปเดี๋ยวนี้!” “ไป!!!”
 

นิ้วที่ผมชี้ไปที่เขามันสั่นเทาไปหมด เสียงทั้งหมดที่ผมมีตอนนี้มันตะโกนออกไป ผมต้องการอย่างนั้นจริงๆ ผม …ผม ผมไม่อยากเห็นคนคนนี้อีกแม้แต่วินาทีเดียว
 

“ชานยอล ขอโทษ ขอโทษที่ทำลงไปแบบนั้น ขอโทษ ให้ชั้นอยู่กับนายนะ”
 

 เขาจะดึงผมเข้าไปกอด แต่ผมถอยตัวหนีทันที ผมไม่มีทางให้เขาแตะต้องร่างกายผมอีก ไม่ทีทาง
 

“ฟังนะ อี๋ ฟาน …ฟัง! ร่างกายนี้ชั้นยกให้ ไม่เป็นไรไม่ต้องห่วงว่าชั้นจะเป็นของคนอื่นอีก มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน แต่ช่วยไปจากชีวิตชั้นทีได้ไหม ขอร้อง…ฮึก…ฮึก…วันหน้าถ้าเราเจอกันอีก ก็อย่าทำเหมือนเรารู้จักกัน ขอให้เดินผ่านกันไป เป็นแค่เพียงคนที่เดินสวนกันตามท้องถนน ฮึก…ถ้าเราบังเอิญเจอกันในที่ๆจำเป็นต้องพูด เราก็แค่ทำสิ่งที่ต้องทำกับคนที่เราไม่รู้จักแค่นั้น อู๋ อี๋ฟาน ชั้นขอร้อง …”

“ชานยอล…”
 

เขาก็ร้องไห้ออกมา แต่ร้องเพื่ออะไร? ในเมื่อเขาเลือกจะทำแบบนี้กับผมแล้ว เขาคิดว่าผมจะร้องไห้ฟูมฟายวิ่งเข้าสู่อ้อมแขนเพื่อหาความรับผิดชอบจากเขา เหมือนพระนางในละครอย่างนั้นเหรอ เขาเรียนรู้ชีวิตคนอื่นผ่านอะไร หรือเขาไม่เคยเห็นชีวิตใครสำคัญหรือมีค่าเท่าเขาอย่างนั้นเหรอ
 

“อี๋ฟาน ที่นายรักชั้น เพราะนายคิดว่าชั้นไม่ให้ความสำคัญกับนายเหมือนคนอื่นใช่ไหม ถ้าเป็นเพราะแบบนั้น นายแค่คิดว่านายรักชั้น เราไม่ได้รักกันหรอกนะ แค่ชั้นที่รักนาย ฮึก…”ผมกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น
 

ผมลุกขึ้นพยุงตัวเองเดินเข้าห้องไปเงียบๆ ล๊อคห้องไว้ ขาผมพาตัวเองไปไม่ถึงเตียงอีกแล้ว มันหมดแรงเท่านี้ แค่หน้าประตูเพื่อหนีเขาพ้น
 

“อึก …ฮือ ฮึก ….อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!! อ่า…”

เสียงทั้งหมดที่ผมมี มันเปล่งออกมาจากความรู้สึกทั้งหมด ผม …กำลังเจ็บปวด

 

“ชานยอลเปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ ชานยอล ชานยอล!!! ชานยอล ชานยอล”

 

 






 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก …หน้าประตูมีเสียงเคาะดังขึ้น แม่เขาคงมาแล้ว ผมอยากให้เขาเป็นคนเดินไปเปิดเองมากกว่า
 

“นายน้อย!”

“แม่”

“อี๋ฟาน กลับไปกับแม่”

ผมใช้มือปิดปากและเงียบเสียงตัวเองลง อยู่เงียบๆในห้อง

 

 

ปึ้ง!!! ปึ้ง!!! ปึ้ง!!! แรงกระแทกหน้าห้องผมอย่างแรกจนหลังที่ผมพิงอยู่ถูกอัดเข้าไปด้วย ผมเช็ดน้ำตาตัวเองให้หมด แล้วลุกขึ้นเปิดประตูออก ทนอีกนิดเดียวนะ ชานยอล
 

ผมก้มหัวให้เธอที่ผมยังเคารพเสมอ เธอเข้ามากอดผมไว้แน่น แต่ผมจับตัวเธอผละออกเบาๆ เธอปิดปากตัวเองเหมือนกำลังจะร้องไห้ ผมบีบไหล่ห้ามเธอเอาไว้ ยิ้มให้บอกว่าผมไม่เป็นอะไร
 

“พาเขากลับไปนะครับ”

“จับตัวนายน้อยไว้ พาไปที่รถ!” ลูกน้องทุกคนทำตามที่เธอสั่ง

“ให้พวกเขาสองคนเอาของในห้องนี้ไปด้วยครับ เปียโนด้วย รื้อมันออกไป”

ผมไม่ต้องการเห็นมันอีก

“ชานยอล แม่ขอโทษ”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะเลิกสัญญาเช่าแล้วคืนห้องให้นะครับ” เรื่องเดียวที่เธอผิดคือเลี้ยงเขาให้เป็นแบบนี้

“ชานยอล พวกแกเป็นใครมาจับชั้นปล่อย!!! ปล่อยเว้ย” เขาดิ้นและโวยวายจนหลุดมาอยู่ตรงหน้าผม “ชานยอล อย่าไล่ชั้นไปแบบนี้ เราต้องอยู่ด้วยกันสิ แม่ไม่ได้ว่าอะไรนาย เราอยู่ด้วยกันต่อไม่ได้เหรอ ขอโอกาสอีกครั้งให้ชั้นแก้ตัวกับนายนะ นะ ชานยอล”

“จับตัวนายน้อยออกป่ …” แม่ของเขากำลังจะเรียกลูกน้องเข้ามาอีกครั้ง แต่ผมห้ามไว้
 

เรายืนอยู่ตรงหน้าของกันและกัน น้ำตาบอกว่าเขาเสียใจที่ผมทำแบบนี้ ผมค่อยๆเอื้อมมือไปเช็ดมันออก ตาผมคงแดงช้ำไปหมด แต่ผมก็ยิ้มออกมาให้กับคนตรงหน้าอีกครั้ง ยิ้มเหมือนทุกที ยิ้มทั้งที่ผมหัวใจของผมแทบขาดออกมา
 

“อู๋ อี๋ฟาน ใช้ชีวิตให้ดีนะ”
 

ผมบีบต้นแขนเขาลูบมันให้กำลังใจอย่างคุ้นเคย จับเสื้อผ้าของเขาให้เขาที่เหมือนเขากำลังจะออกไปทำงานทุกเช้า อึก…ฮึก …น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง เมื่อผมกอดลาเขา
 

“ขอร้องล่ะ”
 

อ้อมกอดที่ผมมอบให้เขาคลายตัวออก เขาเดินออกไปจากห้องผมแต่โดนดี ของทุกอย่างค่อยๆถูกขนย้ายออกไป อะไรที่เป็นของเขาผมหยิบมาวางไว้ให้ทั้งหมด
 

“ท่านประธานอู๋ครับ ผมฝากนี่ไว้ให้เขาด้วยครับ”
 

ปึก …เพ้ง!!! ผมทุบกีตาร์ที่ผมรักมากที่สุดด้วยมือของผมเอง มันพังยับเยินทั้งตัว แม้แต่สายก็ขาดวิ่น ก่อนจะยื่นให้แม่ของเขา หวังแค่ว่าเขาจะรู้ความหมายที่ผมทำแบบนี้
 

หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกไปจากห้องของผม ผมกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง ม่านสีเบจ ตอนนี้มันปิดไม่ได้อีกแล้ว เพราะสายของมันโดนแรงดึงจนราวเกาะมันหลุดลงมา วิวด้านนอกสาดแสงจ้า ส่งไอร้อนของตอนกลางวันเข้ามาภายในห้อง ผมนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมสีแดงของตัวเอง เป็นสิ่งเดียวในห้องนี้ที่บ่งบอกฐานะแท้จริงของผม ถึงสีภายนอกของมันดูอันตรายและร้อนแรงแต่ความนุ่มนวลรองรับเจ้าของๆมันไว้ได้อย่างแข็งแรง ไม่ต่างจากการปลอบประโลมถึงมันจะไร้ชีวิตก็ตาม ผมหลับตาลงตรงนี้ได้เสมอ












 

 

 

bottom of page