top of page

            เรื่องที่หนึ่ง บึงคำสาปของชายขี้เมา

            ตอนที่หนึ่ง บุรุษไปรษณีย์ที่หายไป

 

 

            ในจดหมายฉบับเก่าคราวหนึ่งผมได้มันมาจากพ่อค้าถ่านหินนำมาส่งให้อย่างลับๆ เรื่องราวที่ซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานับปีที่ผมไม่เคยสนใจเรื่องราวของมันเลย เพราะห่างไกลที่จะเกิดขึ้น คำขู่ของชายขี้เมาที่สาปแช่งตำรวจให้ไหลไปตามน้ำ มันไม่ชวนให้น่าแปลกใจเท่าไหร่ แต่พอกลับมาอ่านเนื้อความในจดหมายซ้ำไปซ้ำมาถึงรู้ว่านี่แปลกพิลึก

            คำขึ้นต้นของผู้เขียนเริ่มมันอย่างรีบร้อนลายมือม้วนกันอย่างกลมเกลียวยากแต่การแกะอ่านสำหรับผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญอักษร กระดาษที่ใช้ก็ทำมาจากไม้ธรรมดาแบบที่เด็กใช้เรียนเขียนทั่วไป ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ในความธรรมดานั้นผมรับรู้ถึงสิ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ ประการแรกซองจดหมายตามปกติแล้วชาวบ้านทั่วไปไม่ใช้อาศัยการม้วนเท่านั้น แต่นี้จ่าหน้าซองถึงผมแต่กลับให้บุคคลมายื่น แสดงว่าจดหมายถูกส่งต่อก่อนมาถึงอย่างนั้นหรือ

            ประการที่สองจดหมายนี้มีการคัดลอกขึ้นใหม่อย่างแน่นอน ลำดับการหยดน้ำหมึกไม่ต่างจากการท่องจำของบทความที่เกิดขึ้นแล้ว ความผิดธรรมชาติช่วงการไตร่ตรองของผู้เขียนหายไป ผมจึงมั่นใจว่าเป็นการคัดลอกจากอีกบุคคลหนึ่ง

            ประการที่สาม เมื่อผู้ส่งมารู้จักผมดี ทำไมเขาไม่บอกเล่าเรื่องราวในจดหมาย กลับบอกว่าเป็นชายขี้เมาเล่าเรื่องแทน บุคคลที่จ่าหน้าซองกับลายมือในจดหมายเหมือนกัน แล้วชายขี้เมาเจ้าของเรื่องคือใครหรอกหรือ

            ใจความมีอยู่ว่า ...

            ณ.วันที่ข้านั้นจักหาความดีมิได้ ลูกเมียข้านั้นสาบสูญไป สติก็พลัดหลงทอดทิ้งข้าระหว่างทางเช่นกัน ข้านั้นมีมิตรสหายที่เป็นดั่งเพื่อนแท้ยามตกยากคือเหล้าข้างกายข้า เหล้านั้นบอกข้าว่าข้าสามารถตามครอบครัวข้าที่หายไปกลับมาได้ ข้าจึงเริ่มออกเดินทาง

          ท่ามกลางฝนโปรยปรายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ฤดูที่โหดร้ายมาเยือนเราชาวเหมือง ข้าไปไม่ถึงปลายทาง ทว่าเจอครอบครัวแล้ว ความดีใจหายวับไปกลับตาเมื่อพวกเขาถูกม้านิลครอบครองและไล่ลา ข้าวิ่งตามไปจนถึงใกล้เอื้อมมือคว้าพวกเขากลับมา ทว่าสายมือข้ามิไวเท่าลูกเหล็ก พวกเขาตกลงใบบึงกว้างที่ม้านิลยืนกินน้ำอยู่ล้อมรอบ

          ความโศกเศร้าหลั่งเลือดบ่าข้าหนักเกินต้านทาน ข้าทรุดลงกำพื้น แล้วสาปแช่ง เมื่อใดที่เหล่าม้านิลเหล่านั้นตกลงน้ำก็อย่าได้มีลมหายใจกลับขึ้นมาอีก...

            เนื้อความในจดหมายเล่าเพียงแค่นั้น ก็ไม่ได้มีข้อความใดๆต่อ ...

            การคาดคะเนจึงเกิดขึ้นจากตัวผม เหล่าตำรวจทำเรื่องร้ายแรงต่อชายขี้เมาที่เขียนจดหมาย ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้เมามายอย่างที่บอก ผมต้องตามหาตัวเขา ต้องเริ่มจากบุคคลที่คัดลอกจดหมายนี้ ซึ่งเขาน่าจะเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน แน่นอนเขาต้องเป็นครู หมอหรือบุคคลใดที่เกี่ยวข้องกับสก๊อตแลนยาร์ด เราจะตามได้จากจดหมาย ถึงไม่ได้บันทึกหน้าซองไว้ว่าผู้ส่งคือใคร แต่ไปรษณีย์จะบอกข้อมูลนี้แก่เราเป็นแน่

            วันนี้ทั้งวันผมง่วนอยู่กับเรื่องนี้ และพยายามหาทางออก จนเมื่อบ่ายมาถึง ...

            ปั๊กๆ...ปั๊กๆ...ประตูหน้าบ้านโดนถูกเคาะ ลูกกรงเหล็กส่งเสียงดังเข้ามาให้ผมได้ยิน

            ผมไม่มั่นใจว่าญาติมิตรหรือเหตุใดไม่แจ้งล่วงหน้า เพื่อนฝูงก็หาได้มาพบปะกันยามนี้ไม่ สิ่งแรกที่ผมต้องทำคือ พบแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างเสแสร้ง ชุดนอนกับชุดคลุมเข้าชุดระบายดอกไม้ของเลดี้เปิดเนินอกสวยสยายโชว์ซับในเพิ่มความเนียนและไม่ล่อแหลม ใบหน้าตกแต่งความงามนิดหน่อยแต่ก็ยีวิกผมฟูฟ่องออกมาเหมือนไม่มีความพร้อมจะออกทักทายมิตรสหาย บอกถึงการอยู่บ้านจิบน้ำชายามบ่าย อ่อ...นมปลอมที่ทำจากฟองน้ำด้านในโซฟาที่ตัดออกมาใช้อย่างจำเป็นก็ยัดเข้าหน้าอกไว้แน่นแนบกับอันเดอร์แวร์ของสุภาพสตรี แค่นี้ผมก็พร้อมเดินออกไปเปิดประตูบ้านแล้ว

           

            สัปดาห์ต่อมานับจากวันที่บิดาของข้าพเจ้าพบปะเกลอรัก

            ข้าพเจ้าเป็นบุตรชายของนายตำรวจใหญ่ เมื่อได้เริ่มงานสายนี้ตามรอยของตระกูลที่เป็นกันมายาวนาน ก็มีเพียบพร้อมยศถาบรรดาศักดิ์ตามมาแบบไม่ต้องเอื้อมมือคว้า หากจะว่าไปข้าพเจ้าปักใจในด้านตรงข้ามของสิ่งที่เป็นมากกว่า เมื่อสังคมที่ข้าพเจ้าอยู่เริ่มน่าเบื่อหน่าย ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบจนเกินไป งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเลดี้ของบ้านจัดมันอยู่บ่อยครั้ง และการต้องออกไปรับหน้าเกลอรักของบิดาข้าพเจ้า ซึ่งเพื่อนฝูงมากมายเหลือจะนับ ยศสารวัตรของข้าพเจ้าจึงสุขสบาย ข้าพเจ้าจึงอาสารับงานภายในงานหนึ่งที่พ่อของข้าพเจ้าเพิ่งรับรู้ภายหลัง

            ข้าพเจ้าเชื่อว่าในความอ่อนหัดของคนทั่วไปนั่น ข้าพเจ้าไม่ได้จัดอยู่ในพวกที่มีเรื่องพักนี้ เมื่อเรารู้จักตัวเองดีและแก้ไขมันจนสมบูรณ์แบบ ข้าพเจ้าจึงเริ่มต้นวัยทำงานและอยากออกไปอยู่ด้วยตนเอง หลังจากเสร็จงานนี้ ซึ่งครอบครัวของข้าพเจ้าก็ยินดี มันเป็นเหตุผลเพราะข้าพเจ้ารับราชการมาสองปีแล้ว

            สิ่งที่น่าเหลือเชื่อเกิดขึ้นกับชายวัย 30 แบบข้าพเจ้าคือ การแต่งงานอยู่ห่างไกลเกินไป แม้แต่สุภาพสตรีเลอค่าที่ไหนข้าพเจ้าก็จักบอกปัดให้พ้นทาง เป้าหมายการวางชีวิตของข้าพเจ้าถูกตั้งไว้นานแล้ว ...ข้าพเจ้าสาบานว่าข้าพเจ้านั้นหาความดีมิได้ ในนามของตำรวจคนหนึ่งที่เป็นผู้รักษากฎหมาย เพียงแต่รักษาหน้าที่ของตนไว้อย่างดีที่สุดแค่นั้น

            ตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเด็ก ข้าพเจ้ารักความสงบชอบเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวบนหลังคาบ้าน เพื่อมองความเป็นไปและการบอกลาของค่ำคืนเพื่อต้นรับวันใหม่ ความสันโดษในตัวข้าพเจ้าก็มิต่างจากพวกนกที่มองหาเยื่อจากมุมสูงเมื่อปีกถลาขึ้นเหนือแรงลม ข้าพเจ้าก็เป็นแบบนั้น ถ้าไม่เจออะไรที่น่าสนใจข้าพเจ้าก็จะไม่ลงมาล่าเหยื่อ เช่นนี้พ่อของข้าพเจ้าถึงกำหนดทางเดินข้าพเจ้าเสียใหม่โดนให้ไปเรียนในโรงเรียนประจำเพื่อฝึกเป็นตำรวจ เพราะกลัวว่าข้าพเจ้าเตลิดไปไกลเสียหาทางกลับมิได้ เมื่อถูกกำหนดเส้นทางไว้ มันก็จำเป็นต้องเดินเพื่อให้ทางมันแข็งแรง แล้วค่อยสร้างทางใหม่เป็นทางของเรา คิดแบบนั้นก็เดินจากจุดนั้นจนถึงวันนี้

            เรื่องราวของข้าพเจ้าก็เริ่มต้น.../ผมจะเดินต่อหลังจากนี้ตามนี้...

            หน่วยข่าวกรองของกรมตำรวจยังไม่ได้ความคืบหน้าของคดีที่ผมรับผิดชอบนี่มันก็ล่วงเลยพาไปสองเดือนแล้ว ผมพยายามสืบเสาะอยู่หลายทางทั้งเบาะแสต่างๆเล็กๆน้อย ก็ดูมันจะผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง ก็ได้แต่กลับมาเริ่มต้นใหม่ พ่อของผมจึงวานให้เพื่อนของเขาที่เป็นนักสืบเข้ามาช่วย โดนทิ้งที่อยู่ไว้ให้และบังคับให้ผมไปหาเขาในเร็ววันนี้

            เข้าหาผู้ใหญ่และไม่ได้นัดหมายมาก่อน ผมก็ต้องแต่งตัวให้สุภาพเรียบร้อยและเป็นทางการเพราะตระกูลเราเป็นตระกูลเก่าแก่ชนชั้นขุนนาง หมวกทรงสูง สูทเนี๊ยบ ผูกโบว์กับรองเท้าหัวแหลมจึงประกอบเข้าร่างผมอย่างลงตัว

            มาถึงหน้าบ้านหลังจากเคาะไปแล้วสองครั้ง ผมก็ยืนรอตามมารยาท ตึกสูงสี่ชั้นกลางย่านสแตรนด์ หน้าตาตึกย่านนี้ก็เหมือนๆกันหมด สร้างและออกแบบมาให้เหมือนกัน ความแตกต่างของบ้านเพื่อนพ่อคือผมสามารถแยกมันออกโดยทันที มิได้แยกมันจากบ้านเลขที่ แต่เป็นต้นไม้เลื้อยที่ปลูกเป็นป่าอยู่หน้าบ้าน ทางเดินเข้าบ้านก็เป็นอิฐแดงและโอบไปด้วยดินให้ต้นไม้เกิดขึ้นแทรกตามร่อง เขาคงเป็นคนแก่วัยกลางคนนักอนุรักษ์ไม่ต่างจากพ่อของผมที่ชอบปลูกสิ่งเหล้านี้ในเรือนเพาะชำ

            นานเกินไปหรือป่าวที่ผมต้องยืนรออยู่ตรงนี้ พักใหญ่ๆก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากบุคคลภายในบ้าน ผมจึงได้แต่หันหลังพิงประตูเหล็กเล็กๆหน้าบ้านกอดอกรอ...

            แกร่ก...ประตูเปิดออกพร้อมกับเลดี้ร่างผอมใบหน้างดงามของสาวตะวันออกแต่ก็เหมือนเธอมีเลือดอีกครึ่งเป็นชาวจะวันตกแบบผม ลูกสาวเพื่อนพ่อของผมอย่างนั้นหรือ

            “มีธุระอะไรเหรอคะคุณสภาพบุรุษ” เสียงเธอทุ้มต่ำ ดูจากท่าทางเธอเป็นชนตะวันออก

            “ผมแวะมาเยี่ยมเยือนเจ้าของบ้านหลังนี้ หวังจะทักทายมิตรสหายรักของพ่อ”

            “เชิญเข้ามาข้างในเถอะค่ะ” หล่อนบอกด้วยเสียงสุภาพ ยิ้มแย้ม

            ผมเดินตามร่างบอบบางของเจ้าหล่อน ตามทางเดินเข้าสู่ตัวบ้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย สองทางเดินเต็มไปด้วยชั้นหนังสือ ด้านบนก็ด้วย เข้ามาอีกห้องก็ไม่แตกต่างกัน ราวกับว่าผมหลุดมายังโลกที่อีกด้านหนึ่งมีเพียงหนังสือเท่านั้น เพื่อนของพ่อผมคงรักกรอ่านมาก ส่วนอื่นๆของบ้านนอกจากหนังสือแล้วก็เต็มไปด้วยกระดาษ หมึก กระดาษไม้ ช็อก แว่นตาบนโต๊ะทำงาน สีฝุ่นฟู่กัน โซฟาที่มีเสื้อผ้าผู้ชายวางอยู่

            “ช่วยหันหลังกลับไปก่อนซักครู่ จะเปลี่ยนเสื้อผ้า”

            “…” ผมหันหลังกลับมาทันทีที่หล่อนพูดจบ ทำไมหล่อนถึงทำอย่างนี้ต่อหน้าแขกที่เพิ่งทำความรู้จัก พ่อของหล่อนจะว่าอย่างไร ถ้าเข้ามาเจอผมที่ยืนอยู่ตรงนี้

            “หันกลับมาได้แล้ว เชิญนั่ง”

            “...” ผมหันหลังกลับมาที่เดิม หล่อนหายไปแล้ว มีเพียงผู้ชายตะวันออกใบหน้าหวานเข้ามาแทนที่ แต่...เครื่องสำอางที่เขากำลังเช็ดออกจากใบหน้า หรือว่าหล่อนที่ผมเห็นคือ...เขา

            ผมมองสิ่งที่เพิ่งรับรู้ด้วยความตกใจ ทำไมชายผู้นี้ต้องปลอมตัวเพื่อออกไปเปิดประตูหน้าบ้าน หรือเพราะพ่อของเขาเป็นนักสืบ จึงคิดอะไรแผลงๆแบบนี้ ผมไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปอีก รอจนเขาแต่งตัวเสร็จเป็นผู้ชายเรียบร้อยดีแล้ว

            “คุณคือลูกชายของเซอร์อาเธอร์ อูอย่างนั้นใช่ไหม”

            “รู้จักพ่อของผมด้วยเหรอ”      

            “แน่นอนต้องรู้จักสิ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่”

            “หมายความว่าไงครับ”

            “เพราะผมเป็นเพื่อนรักกับเขา”

            ผมไม่เชื่อในสิ่งที่ผมได้ยิน จะเป็นไปได้ยังไงดูจากหน้าตาของเขาตรงหน้าผม ก็สามารถคำนวณอายุคร่าวๆได้ เขาอายุน้อยกว่าผมเป็นแน่

            “เป็นไปได้หรือ...”

            “เป็นไปแล้ว” คนตรงหน้าผมนั่งคร่อมตัวบนเก้าอี้ทำงานเอามือยันคางไว้ แล้วตอบอย่างว่องไว้ “ถ้าผมเกิดเร็วกว่านี้ซักหน่อย รับรองว่าต้องได้เป็นพ่อทูนหัวของคุณแน่”

            “พ่อบอกให้ผมมาหาคุณ หลังจากนี้หวังว่าคุณจะช่วยเรื่องที่ผมจะทำข้อตกลงไว้” ผมพูดหยั่งเชิงออกไป ถ้าเขารู้ว่าเรื่องอะไรก็แสดงว่าเขาเป็นเพื่อนของพ่อผมจริง

            “ไม่จำเป็นเลยซักนิด...” ผมมองเขาไม่ละสายตา “ผมทำข้อตกลงกับพ่อคุณไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือเรื่องนี้อย่างสุดความสามารถ ในฐานะผู้ช่วย และนักสืบที่ทำงานอย่างเต็มกำลัง คุณก็ต้องทำตามที่ผมบอกในบางเรื่องเช่นกัน”

            “ผมจะทำถ้ามันเป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับคดี”

            “แน่นอนมันต้องเป็นแบบนั้น คดีนี้เป็นคดีภายในเราต้องทำงานกันเงียบๆ เริ่มจากวันนี้เราต้องออกไปข้างนอกด้วยกันก่อน”

            “ไปไหนครับ”

            “ไปตามหาคนส่งจดหมาย”

            “ผมจะส่งโทรเลขถามหน่วยงานนั้นให้”

            “คนส่งไม่ได้หาง่ายขนาดนั้นหรอก เราต้องไปที่นั่นเพื่อหาเบาะแสของเขาเอง ว่าไปทันเขาก็อาจจะยังอยู่”

            “เราก็ไปกันตอนนี้เลย”

            “ไม่ได้หรอก รอท้องฟ้ามืดลงก่อน ไปตอนนี้เสียกันหมดทีเดียว”

            “ขอเหตุผลที่ผมควรรู้มากกว่านี้”

            “เราจะถูกบุคคลนอกตาม คดีนี้มีคนไล่ตามผมอยู่นานแล้ว เราต้องพึ่งพากันและกัน”

            “แบบไหนเหรอครับ”

            “ผมต้องเปลี่ยนร่างเป็นหล่อนอีกครั้ง ช่วยเป็นคู่ควงให้หล่อนที ตั้งหล่อนในฐานะโสเภณีติดตามเพียงเท่านั้นก็พอ”

            “ผมไม่เคยใช้บริการหญิงชั้นต่ำ แบบนี้จะมีคนเชื่อได้ยังไง”

            “เพราะนายก็จะไม่เป็นตัวนายอีกต่อไปแล้ว นายเป็นเพียงลูกพ่อค้าไม้ที่ตามหาเบาะแสของพ่อเท่านั้น”

            “เราจะตามหาใคร”

            “ฉลาดมาก ...เราจะตามหาชายขี้เมาตัวปลอมจากคนส่งจดหมายนั้น”

            “เขาคือใคร”

            “เอาจดหมายนี่ไปอ่านสิ”

            ผมรับจดหมายฉบับหนึ่งมา ข้อความข้างในชั่งน่าสงสัยแต่ก็รู้เพียงว่าชายขี้เมาเขียนขึ้น เขาเสียบุคคลในครอบครัวเหตุเพราะตกลงไปในน้ำ จากการตามล่าของคนกลุ่มหนึ่ง

            “คนเขียนจดหมายคือชายขี้เมา พวกเรามีสองคนเหรอ”

            “ใช่ เขาคนหนึ่งเขียนฉบับจริง อีกคนเขียนฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อส่งให้ผม”

            “มันเกี่ยวยังไงกับคดีที่เราทำอยู่”

            “คำสาปแช่งนั่นไง ม้านิลคือตำรวจกลุ่มหนึ่งที่ทำความผิด”

            ผมเข้าใจทุกอย่างท่องแท้แล้ว ชายผู้นี้อาจอยู่เบื้องหลังของคดี ถ้าเราหาเขาเจอ เราต้องเริ่มจากบุคคลปลายเรื่องก่อน แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี ทำไมถึงต้องส่งจดหมายนี้มาให้กับเขา เพราะไม่ไว้ใจตำรวจอย่างนั้นหรือ

            “อ้อ ลืมแนะนำตัว ผมชื่อ ยอล พี. เดรบเบอร์” เขายื่นมือมาให้ผม

            “คริสโตเฟอร์ อู เรียกผมว่าคริสก็พอ” ผมยื่นมือกระชับและปล่อย

            “หวังว่างานของเราจะน่ารื่นรมย์”

            “หวังว่ามันจะราบรื่น” ผมช่วยแก้ประโยคเพี้ยนๆของเขา

            หลังจบประโยคสนทนา เขาก็เริ่มแต่งตัวเป็นเจ้าหล่อนใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้เขาจูงมือผมเข้ามาในห้องนอน ที่มีแค่เตียงนอน ทุกอย่างในห้องโล่งสบายตามีสีขาวครีมกับผ้าม่านสีอ่อน ตู้เสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ประกอบไม่กี่ชิ้น

            “เปลี่ยนมาใส่เสื้อผ้าพวกนี้สะ”

            “เอ่อ...อืม”

            ผมก้มลงดูเสื้อผ้าสะอาดหยิบขึ้นมาก็พอรู้ว่าผ้านี้ใหม่ แต่ทำไมสภาพที่ดูจากภายนอกกลับเก่าการใช้งานถึงเพียงนี้ เขาคงแปลงโฉมมันไว้เพื่อตบตา เสื้อผ้าที่ชั่งไม้ใส่ผมถือมันไว้หามุมเปลี่ยนมันตามที่เขาบอก แต่...เขากลับถอดเสื้อผ้าต่อหน้าผมทีละชิ้น เปลี่ยนกลับไปใส่ชุดสุภาพสตรีสภาพเก่าแต่ก็ดูสวย ผมก็เลยค่อยๆถอดเสื้อผ้าออกแล้วเปลี่ยนตาม คงไม่เสียมารยาทแก่กันไปมากกว่านี้

            เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเขาก็เรียกผมไปใกล้ๆ จับหน้าแล้วติดเคราปลอมที่ทำจากอะไรแข็งๆบางอย่างมาแปะๆไว้เป็นหนวดและไรผม ซ้ำยังเปลี่ยนสีผิวผมให้เข้มขึ้นจากการแต่งแต้มสีฝุ่น ผมมองตัวเองในกระจก ...ตอนนี้ผมไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว

            เขาเองก็เหมือนกัน ...ราวกับหญิงสาวไม่มีผิด

 

 

           เราทั้งคู่ออกมาจากตรอกสแตรนด์ โดยอาศัยการเดินเท้า เขา...เอ่อ เจ้าหล่อนเกาะเกี่ยวแขนผมไว้ข้างหนึ่งซุกหน้าลงที่ไหล่แสดงท่าทางหลงใหล เมื่อถึงตรอกที่มีพวกโสเภณีเดินผ่านไปมาข้างถนน หล่อนกลับเชิดหน้าแล้วควงแขนผมออย่างออกรสออกชาติ ถ้าไม่บอกว่าเป็นเพื่อนพ่อของผมที่ทำงานอาชีพนักสืบ ท่าทางของเขาก็ชวนให้ผมคิดว่าเขาคือคณะแสดงละครเล่าเรื่อง ตัวเองให้ละครโอเปร่าที่กำลังโลดแล่นบทบาทอยู่ขณะนี้

            ผมมองหล่อนที่อยู่ข้างกายเป็นระยะ เมื่อหล่อนสะกิดบังคับให้มอง ตากลมโตสีดำเข้มในแบบตะวันออก รอบดวงตาไม่ได้ลึกเหมือนชาวตะวันตกแบบเรา เขาเป็นผู้ชายชนชาติจีนหรือ ผมเคยเจอคนพวกนั้นก็พอจะดูออกบ้าง รูปร่างของพวกนั้นก็เล็กเหมือนเขา ต่างก็ตรงที่ผิวพันธ์ของเขาขาวสะอาดเพราะไม่ได้ใช้แรงงานแล้ว และหล่อนข้างกายผมสูงทัดเทียมชาวอังกฤษ(กล่าวได้ว่าชายในเมืองเราไม่สูงมากนัก)  การกระทำแบบนี้หากมิใช่ละครที่กำลังเล่นอยู่ เราก็ไม่ต่างจากเพื่อนสนิทที่คุ้นเคยกัน ผมไม่เคยมีมุมนี้มาก่อน ที่ผ่านมาอาจจะเรียกได้ว่าทำงานเป็นกลุ่มก้อนกับพักพวกตำรวจ แต่ก็ไม่ใช่วันเดียวจักเชื่อใจกันถึงเพียงนี้ เขาเชื่อใจผมเพียงเพราะลูกชายเพื่อนรัก ถ้าผมเป็นผู้ร้ายเองเขาก็ไม่รอบครอบเอาเสียเลย

            ก็ยังเป็นข้อสงสัยอยู่ดีว่าเขามาเป็นเพื่อนสนิทพ่อของผมได้อย่างไร ตั้งที่เขาเป็นน้องผมด้วยซ้ำ เพราะทำงานคดีต่างๆด้วยกันหรือ ผมคิดว่าตลอดว่าเขาเป็นคนแก่รุ่นราวคราวเดียวกัน แต่พอได้เจอกับตรงข้ามในความคิดสะอย่างนั้น

            ตอนนี้เรามาหยุดกันหน้าที่ทำการไปรษณีย์เขตสแตรนด์ เขายืนรออยู่ด้านนอกท่าทางเหมือนอารมณ์หงุดหงิดหน่อยๆ ผมต้องสวมบทบ้านนอกเข้ากรุงตามหาญาติที่ส่งจดหมาย สำเนียงที่ผมไม่เคยพูดจากที่อื่นเลย สมองพานึกไปลูกน้องคนไหนที่มาจากเขตชานเมืองบ้าง พอนึกตัวอย่างออกก็เริ่มพูดออกไป ชายอ้อนที่รับหน้าที่ตรวจตราจดหมายวันนี้มองผมเหมือนเหม็นกลิ่นขยะ

            “มีอะไรรึพ่อหนุ่มคนงาน”

            “ผมมาตามหาเจ้าของจดหมายฉบับนี้ครับ”

            “งานเยอะจัดไม่มีเวลาหาให้หรอก เชิญค้นตามสะดวกเถอะ”

            “ขอบคุณครับ”

            ชายอ้วนหน้าไม่ต่างจากหมูใบหูเรียวเล็กประกอบหน้าได้ดี จมูกบานสามารถแย่งอากาศผายนอกไม่ต่างจากสูบๆน้ำ ยื่นกล่องที่อยู่จดหมายที่จัดตามหมวดทั้งหมดมาให้ผมหาด้วยความขี้เกียจ ผมตวัดมือเรียกหล่อนเข้ามาช่วย หล่อนทำท่าทางหงุดหงิดเดินเข้ามากระชากกล่องไปจากมือผม ผมรู้ว่ามันก็แค่การแสดง

            หลังจากที่รับกล่องไป เขาไม่ได้รื้อจดหมายหรือตาประทับของแต่ละวันแยกออกมาเพื่อหาบัตรผู้ส่งจดหมายดังกล่าว เขาใช้ลิ้นแตะลงไปที่กระดาษบางใบ แล้วแอบดึงออกมายัดลงไปในช่องหน้าอก ...นี่ก็การแสดงใช่หรือไม่

            ซักพักใหญ่ๆ เขานำหัวจดหมายสามฉบับที่เลือกได้จัดเก็บในนั้นอย่างสมบูรณ์แล้ว หล่อนก็โอดครวญกับเสียงทุ้มต่ำในลำคอ พร้อมดึงผมให้ออกไป ผมส่งกล่องให้เจ้าหน้าที่แล้วส่ายหน้าราวกับว่าไม่เจอในสิ่งที่ผมตามหา เจ้าหน้าที่หมูอ้วนมองไปยังหล่อนแล้วผิวปากล่อ หล่อนยิ้มยวน เดินส่ายไปมารอบตัวผมแล้วลากแขนผมออกจากตรงนั้น

            “หวังดอกจะได้เห็นขาอ่อน” หล่อนสะบัดหน้า

            “กลับมาปกติได้แล้วหรือยัง”

            “ยัง มีคนตามเราอยู่” หล่อนคลอเคลียหน้ามากระซิบ

            ผมก็รู้สึกแบบนั้นมาพักใหญ่ตั้งแต่ออกเดินออกมาจากหาบัตรจดหมาย ทำไมต้องตามเรา หรือเขาจะรู้ว่าเราเป็นใคร แต่จะรู้ได้ยังไง ท่อนแขนรวบเอวหล่อนเข้ามากระชับไว้ติดตก ทะตัวหล่อนกับกำแพง ...ผมต้องคุยกับคนข้างกายเดี๋ยวนี้

            “อย่าใจร้อนสิคะ ...รอก่อน”

            “...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร แรงงงงันกระแทกเข้าลำคอ หล่อนโน้มคอผมลงไปชิดไหล่

            “เขาไม่รู้หรอกว่าเราเป็นใคร เขาเฝ้าดูคนที่ตามหาที่มาของจดหมาย” คนตรงหน้ากระซิบผม

            “เขารู้ได้ไงว่าเราตามหาจดหมายฉบับไหน”

            “เขาไม่รู้เพียงแค่ตามดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่สิ่งที่เขาเฝ้ามอง”

            “แต่เราใช่”

            “เราต้องรู้ว่าเขาเป็นใคร”

            “รั้งเขาไว้เหรอ”

            “ไม่ ต้องทำเหมือนเราไม่ใช่เสียก่อน”

            “ยังไง”

            “เข้าโฮเทล”

            “ไปสิ ตรงมุมนี้ก็มี”

            “ไม่ นั่นแพงไปสำหรับเราตอนนี้ ต้องเปลี่ยนย่านไม่ก็ซอกตึก”

            “ห๊า...”

            เขาหมายถึงว่าเราจะเข้าไปหลบในโรงแรมใช่ไหม คงไม่ใช่เราต้องทำอะไรกับเจ้าหล่อนหรอกนะ เช่นนั้นคงเกิดขึ้นมิได้ หล่อนลากผมให้เดินตามมาหลังจากที่เราคลอเคลียกันอยู่พักใหญ่ (คุยเมื่อกี่) ย่านโอดเลย์คอร์ตไม่ใช่สถานที่น่าชวนดูเสียเลย แนวอิฐเล็กๆสี่ด้านตรอกซอยที่แคบตลอดแนวทางเดินผ่านช่องตึก นี่หล่อนคงเลือกอย่างหลังมาใช้กับเหตุการณ์ครั้งนี้ใช่ไหม ผมมองระยะผู้ติดตามเขาห่างออกไปจนไม่สามารถตามติดระยะประชิดได้อีก เพราะทางเดินแคบแนวตึกนี่เอง หล่อนฉลาดพอตัว แต่ถ้าเราออกจากแนวตึกนี่ หล่อนจะทำยังไง

            “เขามองเราอยู่ ..ถลกกระโปรงจากด้านหลังผมขึ้นสิ” หล่อนหันหลังให้มองไปทางผู้ติดตามต้นทางของเรา ที่น่าจะสังเกตเราอยู่ไกลๆ

            “...” ผมทำตามที่หล่อนบอก ดึงมันจนเห็นซับใน หล่อนดึงชายกระโปรงข้างหลังมาปิดไว้แล้วแยกขาออก คงไม่ต้องสันนิฐานอะไรกันแล้วว่าเจ้าหล่อนเล่นท่าไหน แล้วผมต้องทำอะไรต่อจากนี้

            “ไม่ได้จะให้ทำเสียเป็นจริงเป็นจังดอกสหาย มายืนประชิดตัวไว้ตามองไปที่มุมตึกอย่างกับกลัวใครจะเดินผ่านมาตอนนี้ ขยับตัวเป็นจังหวะให้ดูเป็นธรรมชาติแบบที่เรากำลัง...ในเรื่องนี้”

            แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นว่าผมทำอะไรด้านหลังเพราะด้านหน้ามีกระโปรงยาวของหล่อนปิดไว้ หล่อนก็ไม่เห็นด้านหลักเช่นกันว่าผมทำอะไร ถึงตาจะมองสังเกตเป้าหมาย แต่ทุกครั้งที่หล่อนโยกเอวมาปะทะ นี่ก็ไม่ใช่การกระทำที่ดีเลย ถ้าหล่อนเป็นโสเภณีจริงดั่งว่า ผมคงจัดการหล่อนลงไปเสียแล้ว

            “นานพอแล้ว ...เราต้องกลับแล้ว”

            “อืม”

            สายตาหล่อนไวพอดู ผมก็เห็นเช่นกัน บุคคลแสดงเงาว่าไม่ได้อยู่ปลายทางแล้ว เงานั้นเคลื่อนไปไวๆกับแสงที่สาดเข้ามาในซอย ผมดึงกระโปรงหล่อนลงมาดังเดิน แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่ใส่ใจอะไรมากนัก

            “คืนนี้เราคงกลับบ้านไม่ได้เสียแล้ว เราต้องออกไปพักยังที่พักจำเป็นของผม”

            “ที่ไหน”

            “ย่านคนจนในชานเซนเบริ์ก”

            คุยเพียงแค่นั้น เราทั้งคู่ก็เดินเท้านับ 4 กิโลได้ ขาท่อนล่างอ่อนล้าไปหมดเพราะอาศัยรถม้าเป็นเวลานานแล้ว แต่หล่อนดูสบายกับเรื่องที่เราทำอยู่นี่ หล่อนเดินยิ้มแย้มทักทายผู้คนทั่วไปในแถบ บางคนทำท่าเหมือนรู้จักหล่อนดี บางคนที่ผิวปากล้อราวเหมือนรู้ว่าหล่อนได้เหยื่อรายใหม่ นี่หล่อนคงปลอมตัวเข้ามาอยู่นี่จนคุ้นเคยราวกับอีกชีวิตมาก่อนแล้ว ฉากหน้าหนึ่งเขาคือนักสิบที่เฉลียวฉลาด และบุคคลที่มีเกียติและศักดิ์ศรีในวงสังคม แต่สิ่งที่ผมเห็นนี้หล่อนคือโสเภณีอันเป็นที่รักของคนร่วมอาชีพและเพื่อนบ้านแถบนี้

            “ถึงแล้ว เข้ามาสิ”

            “ครับ”

            ผมเดินเข้ามาข้างในตึกหลังใหญ่ภายในมีห้องเช่าอยู่หลายห้องจัดเป็นแถวยาวมีทางเดินเส้นยาวและแคบขวางกลั้น จนมาถึงห้องของหล่อน เมื่อก้าวพ้นผ่านประตูเข้ามากลิ่นชื้นผสมกลิ่นอับของแมว ของใช้ต่างๆพอมีอยู่บ้างทั้งถ้วยน้ำชา จานชาม ทุกอย่างราคาเหมาะกับที่แหล่งนี้ ต่างกับที่บ้านของเขาริบลับ มุมห้องมีเตียงขนาดพอดีสองคน ราวแขนเสื้อผ้าขนาดเล็กที่มุดแขนเต็มไปหมดพร้อมกับชั้นในพาดไว้ ถ้าผมไม่รับรู้อะไรมาก่อน หล่อนก็คือโสเภณีทุกประการ

            “นอนได้ไหม... ก่อนระฆังลั่นรับอรุณเราก็จะออกจากที่นี่”

            “ได้ครับ” ผมบอกแล้วนั่งลงบนเตียง

            หล่อนจัดการกับเสื้อผ้าถอดชั้นนอกออก เหลือไว้เพียงชุดคลุมบางๆปกปิดชั้นใน ชุดกระโปรงบานลายลูกไม้กับสายรัดโยงเยงต่างๆถูกพาดเรียงรายที่ราว ตอนนี้ผมควรจะเรียกเขาหรือหล่อน

            “เท้าเป็นยังไงบ้าง”

            “ไม่เป็นอะไรหรอก”

            หล่อนจับเท้าของผมบิดไปมา แล้วถอดถุงเท้าออก มันพุพองจวนเจียนแตกออกมาแล้ว ผ้าขาวบางๆชุบน้ำหล่อนนำมาพันไว้ให้ แล้วกดไหล่ให้ผมนอน หล่อนนอนลงมาข้างๆ แบบนี้ก็ดีนะ ผมไม่อยากให้หล่อนถอดวิกผมออกเลย ไม่สิไม่อยากให้ถอดชุดนี้เลย หล่อนหยิบบัตรการส่งจดหมายออกมาจากหน้าอกแล้วคลี่อ่าน ผมหลับตาลง...

           

 

            ฟ้ายังไม่ทันสว่างทักทาย หล่อนอยู่ในชุดเตรียมพร้อมอีกครั้ง ผมลืมตาขึ้นมาจากการปลุกของหล่อนที่นั่งลงข้างๆ บัตรจดหมายที่หล่อนส่งมาให้ผมเก็บไว้ หล่อนเขียนข้อความสั้นๆว่า  ‘เราจะไม่เอ่ยเรื่องพวกนี้ที่นี่’

            เราเดินออกมาจากบ้านพัก ชายแก่ในละแวกนั้นนั่งสูบยารับยามเช้าส่งควันลอยไปทั่วราวกับหมอกปกคลุม ยาสูบราคาถูกมีกลิ่นเหม็นอับ เจือนกลิ่นตัวของผู้ที่สูบมันทำให้ผมรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน ชายชราคนหนึ่งที่เดินมาทักทายหล่อนอย่างเป็นมิตร

            “ไงอิหนู เมื่อคืนรื่นรมย์หรือป่าว”

            “เป็นที่สุดเมเชอร์ ฉันต้องขอตัวไปส่งเขาก่อน เผื่อเขาจะแวะมาทักทายความรื่นรมย์ฉันอีก”

            “...” ไร้คำพูด...ตามนี้

            ผมเดินตามหล่อนออกมา เท้าผมดีขึ้นแล้วเพราะน้ำอะไรซักอย่างที่หล่อนปิดไว้ให้เมื่อคืน เราต้องเดินอีกราว 6 กิโลก่อนที่หล่อนจะยอมให้เราขึ้นรถม้าได้ อาหารเป็นสิ่งที่ผมต้องการที่สุดในตอนนี้ ดูจากปากแตกแห้งของหล่อนก็เช่นกัน

            หล่อนมีความอดทนสูงกว่าสก๊อตแลนยาร์ดทั้งกรมเสียอีก นี่คือเหตุผลที่พ่อของผมนับถือหล่อนเป็นสหายอย่างนั้นหรือ ซ้ำยังนิสัยที่หล่อนชั่งสังเกตและเป็นห่วงเป็นใยผม หล่อนใจดี และยังใจกว้างอีกด้วย

            เรากลับเข้าเขตสแตรนด์อีกครั้ง หน้าบ้านของหล่อนที่ผมอยากโดดพุ่งเข้าไปในตัวบ้านทันที ราวกับว่าตอนนี้ผมเป็นเจ้าของบ้าน หล่อนเปิดประตูให้ ผมล้มตัวหมดแรงที่โซฟาตัวใหญ่ เหยียดขานอนยาว หล่อนเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านใน ออกมาในชุดผู้ชายปกติแล้ว

            “ไปทำอาหารนะ เราทั้งคู่หิวซกแล้ว”

            “ให้ผมไปช่วยนะครับ”

            “ไม่ต้องหรอกพักเถอะ”

            “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”

            “ตามมาสิ”

            เข้ามาในครัวของบ้าน ผมก็รับรู้ถึงงานอดิเรกของเขาอีกอย่าง ครัวเป็นระเบียบเรียบร้อยราวกับมีแม่บ้าน ของสดของแห้งประกอบอาหารก็ถูกเตรียมอย่างว่องไว เข้านี้แค่อาหารธรรมดาคงทดแทนมื้อดึกของเมื่อวานกับมื้อเช้าวันนี้ไม่อยู่ เราจุ่มเนื้อแผ่นใหญ่ลงบนกระทะ สามชิ้นหั่นผักรวมๆโป๊ะไว้ เราก็หั่นทุกอย่างรวมกันเขี่ยไปพักไว้แล้วทอดไข่ดาวและแฮม ทุกอย่างพร้อมเราก็ใช้ส้อมคีบกินกันแบบนั้น โต๊ะอาหารไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว

            กินเสร็จ เมื่อท้องอิ่มเราก็กลับมาทำงานต่อ เขาให้ผมหาหนังสือเก่าเก็บสามเล่มมาหาข้อมูลเกี่ยวกับคดีที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ผมต้องปีนผนังห้อง เหยียบราวไม้เพื่อขึ้นไปสอยหนังสือนั่นลงมา เขาที่นั่งอยู่ด้านล่างก็เริ่มสันนิฐานจากสิ่งที่ได้

            “บัตรรับจดหมายเมื่อคืนที่เราได้ มีกระดาษชนิดเดียวกันกับสี่ฉบับ แต่สามฉบับเป็นรายมือเดียวกัน แต่บัตรรับจดหมายที่ส่งมาหาผมนั้นไม่มี เป็นที่แน่นอนว่าเขาคุ้นเคยกับการส่ง และตั้งใจมาส่งมันเองถึงที่นี่ บุรุษไปรษณีย์ที่เราตามหา คือตัวเขาเอง อาชีพเขาเป็นครู เราดูจากความเคยชินจากกระดาษและการเขียน จดหมายสามฉบับนี้จะทำให้เราตามเขาได้แคบลงกว่านี้”

            “เราจะออกไปตามอีกเมื่อไหร่”

            “อีกสามวันนับจากวันนี้ มาหาผมที่นี่”

            “ครับ”

            “พกปืนมาด้วย เราอาจต้องใช้มัน”

            “เขาเป็นเพียงแค่ครูสอนหนังสือ”

            “แต่เขาอาจเป็นคนฆ่าชายขี้เมาไปแล้ว จึงเขียนจดหมายนี้ขึ้น”

            “เขาส่งมาให้เราทำไม”

            “ส่งมาท้าทาย” เขามองพร้อมเงยหน้าขึ้นมองผม

            “เราจะตอบรับคำท้านั้น...ด้วยความยินดี”

 

 

 

bottom of page