top of page

กฎข้อที่ 15 พลังงาน

 

            งานแต่งงานจะเริ่มขึ้นแล้ว แต่ผมยังไม่ว่าง ผมต้องเตรียมตัวเพื่อสานต่อธุรกิจของครอบครัว มันเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม เพราะต่อจากนี้ผมต้องใช้ทุกอย่างที่มีกับงานและความรับผิดชอบที่มีต่อครอบครัวทั้งหมด หลังจากที่ผมผ่านอะไรมาเยอะแล้ว มันเพียงพอ งานเอกสารทั้งหมดที่มีตอนนี้ก็อ่านหมดแล้ว เหลือก็แต่งานภาคสนาม ก็ขึ้นอยู่กับบริษัทในเครือของธนาคารเท่านั้น งานด้านการเงินเป็นงานระเอียดอ่อน อาศัยความแม่นจำทางจิตวิทยาสูง จิตใจของผู้บริหารต้องมาก่อนเพื่อการตัดสินใจ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ผมต้องรักษาตัวเองก่อนกลับบ้าน
 

            “คุณหนูเล็กค่ะ คุณผู้หญิงให้เอารายชื่อแขกของงานแต่งงานมาให้ค่ะ”

            “ขอบคุณครับ นี่ครบทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ”

            “เหลือแค่ส่วนของคุณหนูเล็กที่จะใส่ชื่อลงไปค่ะ”

            “ขอบคุณมากนะครับคุณแม่บ้าน”

 ผมยิ้มให้กับเธอเป็นการขอบคุณอีกครั้งก่อนเธอเดินออกไป
 

รายชื่อทั้งหมดเลยสินะ ไหนดูสิ อืม…เพียงแค่ปลายนิ้วผมไล่ลงมาแค่สามรายชื่อแรกเท่านั้น แขกคนสำคัญของครอบครัวผมก็ปรากฏรายชื่อที่คุ้นเคย ‘อู๋ อี๋ฟาน’ ถึงเวลาแล้วสินะ เหมือนเวลาผ่านไปนานแสนนานที่เราไม่ได้เจอกัน เขายังคงเหมือนเดิมไหม แล้วเป็นอย่างไรบ้างคือเรื่องที่ผมอยากรู้ตอนนี้ แต่เรื่องที่ผมจะไม่อยากรู้เลยคือ เขาสนใจตัวผมอยู่ไหม ตามหาผมบ้างหรือป่าว เพราะตอนที่เราเจอกันคงจะรู้เองนั่นแหละ
 

ผมต้องเตรียมห้องพักรับรองที่โรงแรมให้กับแขกที่มาร่วมงานแต่งงานทั้งหมด แต่ครอบครัวตระกูลอู๋แม่บอกว่าให้พวกเรามาพักที่บ้านของเรา เหมือนครั้งที่เราไปร่วมงานที่บ้านของพวกเขาเราก็ถูกเชิญให้พักที่บ้านด้วยไมตรี

 

พวกเขาแจ้งรายชื่อไว้ 5 คนอย่างนั้นเหรอ ประธานอู๋ อี๋ฟาน เควิน อีริค แล้วอีกคนคือใครนะ ตอนนี้ผมรู้เรื่องของสองพี่น้องนั้นแล้ว พวกเขามีครอบครัวที่สมบูรณ์เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่สุดแล้ว

 

 

 

 

 



 

///
 

การกลับมาเกาหลีอีกครั้งของผมและเควิน ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ที่แรกที่เป็นเป้าหมายของผม ก่อนจะเดินทางไปบ้านของชานยอล คือห้องพักที่เราเคยอยู่ร่วมกัน ผมอยากกลับไปที่นั่นอีกซักครั้ง ความทรงจำของเราอยู่ที่นั่นไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม เควินมากับผมด้วย

 

บรรยากาศในห้องยังเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่ไร้ร้องรอยของเจ้าของห้องเป็นเวลานาน ผมสั่งห้ามการเช่าต่อของห้องนี้ให้คนอื่น และสั่งให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดไว้เสมอ ชานยอลไม่ทิ้งอะไรไว้เลย ปล่อยทุกอย่างให้ว่างเปล่า ห้องนอนของผมยังมีของใช้อยู่บ้างบางชิ้น เพราะวันที่ผมจากไป ผมไม่ได้สนใจเก็บของซักชิ้น แค่ทำตามที่เขาขอเท่านั้น ส่วนห้องของชานยอลนั้นทุกอย่างหายไปทั้งหมด

 

“ห้องยอลเหรอ”

“อืม นี่เลิกเรียกยอลเฉยๆได้ไหม -_-;”

“ชินแล้ว โทษทีว่ะ” พี่ชายผมตอบหน้าตาย ไปชินกันนานแล้วอ่ะเด่ แม่งหงุดหงิด

“เขาเก็บของไปหมด ไม่เหลืออะไรไว้เลย”

“ความทรงจำ” เขาบีบไหล่ผมเบาๆ

“นั่นสิ ปกติยอลจะไปนอนกับผมอีกห้อง ที่นี่เราอ่านหนังสือกันทุกคืน” ผมลากนิ้วตามความยาวของผ้าปูที่นอนนึกถึงใบหน้าหวานนอนยิ้มหยอกล้อกับผมอยู่บนเตียงทุกครั้งที่เขาโต้เตียงกัน ผมยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว สมองของผมเต็มไปด้วยร่องรอยของเขาวนเวียนอยู่ทุกที่ ผมอยากย้อนเวลากลับไปได้จริงๆ ถึงรู้ว่ามันทำไม่ได้ก็ตามที

“เอาน่า มันกำลังจะกลับมาถ้านายทำสำเร็จ ไปกันเถอะ!”
 

เขาลากคอผมลงมาจากห้อง เราอยู่บนรถเพื่อจะไปรับเพื่อนรักของผมอีกคนที่โรงแรม เขามารอพวกเราอยู่ก่อนแล้ว
 

            ลู่หานยืนรอพวกเราอยู่ตรงหน้าโรงแรมพอดี กับสัมภาระ ผมและเควินช่วยเขายกขึ้นรถ ตอนนี้ผมกับลู่หานเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแล้ว ผมบอกเขาตามความจริงๆทุกเรื่องเกี่ยวกับความผิดของผมที่ทำไว้กับเขา เขาเองไม่มีท่าทีจะโกรธอะไรเลย -_-; เหมือนกับผมไม่สำคัญด้วยซ้ำ เขาถามผมเกี่ยวกับคนที่ผมรัก ผมเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับชานยอลให้ฟัง รวมทั้งเรื่องที่ผมทำไว้ด้วย เป็นการสารภาพบาปครั้งใหญ่ของผมเลย เขาก็อยู่ให้กำลังใจผมในฐานะเพื่อน เขาบอกให้ผมทำใจเรื่องชานยอล เพราะเป็นเขาก็คงจะให้อภัยไม่ได้เหมือนกัน ลู่หานบอกผมว่าเขาเข้มแข็งไม่พอที่จะทำ แต่ผมไม่มีทางทำใจได้หรอก จนกว่าคนรักจะกลับมาสู่อ้อมกอดผม

           

 

 

 

 

 

            หน้าบ้านตระกูลปาร์ค
 

            ผมรู้สึกกลัวไม่กล้าขับรถเข้าไป มันเหมือนข้างหน้าเป็นกำแพงตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า ผมมองไม่เห็นทางออกตรงหน้าเลย เขาจะเจอหน้าผมได้หรือยัง ยังโกรธผมมากเหมือนเดิมไหม หรือเกียดผมไปแล้ว เขายังจำผมได้อยู่หรือป่าว เขาจะให้โอกาสผมอีกครั้งได้ไหม ผมกุมขมับแล้วกอดพวงมาลัยรถไว้แน่น
 

            “อี๋ฟาน เข้าไปกันเถอะ” ลู่หานตบบ่าผมเบาๆ ผมกลั้นใจขับรถเข้าไปตามที่เขาบอก เพราะประตูเปิดไว้นานแล้ว แต่ผมก็กลัวอยู่ดี

           

            เราทั้งหมดลงมาจากรถเดินตามผู้นำทางเข้าไปในบ้าน ครอบครัวปาร์คยืนรอเราทุกคนอยู่ ผมมองหาชานยอล แต่ก็ไม่เห็นเขาอยู่ดี เขาไปไหน ผมไม่ได้บอกว่าผมจะมาวันนี้นี่นา ทำไมยังไม่เจอเขาอยู่ดี
 

            “สวัสดีครับท่านประธานปาร์ค”

            “เรียกอะไรทางการขนาดนั้น เรียกลุงเถอะอี๋ฟาน ฮ่าๆๆๆ”

ครับคุณพ่อ ผมยิ้มให้ท่านแล้วก้มต่ำเท่าที่ผมทำได้เพื่อแสดงความเคารพ

“สวัสดีครับคุณลุง” เควินก้มต่ำลงตามผมเหมือนกัน

“ลู่หานครับ” เพื่อนผมก็ด้วย

“ตามสบายนะทุกคน ขอบใจมากที่มางานแต่งงานของบ้านเรา เราเตรียมห้องรับรองไว้ให้แล้ว ไปๆ ไปพักกันก่อนไป เดี๋ยวให้ลูกชายลุงพาไป”

หัวใจผมเต้นเหมือนลิงโลดขึ้นมา มองหาชานยอลทันที

“ไปตามชานยอลมาให้หน่อยสิ แม่บ้าน”

“ผมอยู่นี่ครับพ่อ” เสียงของเขา
 

พระเจ้าลูกได้ยินเสียงนี้อีกครั้งแล้ว เหมือนห้วงเวลาหยุดอยู่ตรงนี้ ชานยอลกำลังเดินออกมาหาพวกเราที่ยืนอยู่ เขาหยุดอยู่ใกล้ๆพ่อของเขา ผมมองเขาไม่วางตา ผมละสายตาจากไปไม่ได้อีกแล้ว เขายังเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ทั้งรอยยิ้มที่เขาส่งให้พ่อของเขา เขาจะมองมาที่ผมไหม เขาจะพูดกับผมหรือป่าว หัวใจผมเต้นแรงเหมือนมันจะออกมานอกอกแล้วตอนนี้
 

“พาแขกของเราไปพักสิลูก เตรียมห้องไว้หรือยัง”

“ครับครบแล้ว”

“ขอแนะนำอย่างเป็นทางการนะ นี่ปาร์ค ชานยอลลูกชายคนเดียวของลุงเอง”

ผมไม่มีปฏิกิริยาอะไรทั้งนั้น นอกจากมองใบหน้าหวานตรงหน้านี้

“เควิน อู๋ครับ”

“เควินอย่าทำเหมือนเราเพิ่งรู้จักกันสิครับ” รอยยิ้มนั้นส่งให้พี่ชายของผม

“ลู่หานครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เสียงที่คุยกับเพื่อนของผม

            เมื่อถึงผม …

            “…” ผมพูดไม่ออกได้แค่มองเขาเท่านั้น

            “ไปเถอะอี๋ฟาน เตรียมห้องให้แล้ว ตามมาสิ” มือของเขาถูกจับด้วยมือของเขา ดึงให้เดินตาม ตอนนี้หัวใจของผมมันอยากร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจที่ล้นปริ่ม เขาคุยกับผม เรียกชื่อผม และยังสัมผัสผมเหมือนเดิม ชานยอล…
 

            “ห้องนี้ของเควินนะ” เขาบอกพี่ชายของผม “ตรงกลางของลู่หานนะครับ”

            “ถัดมาตรงนี้ ของนายนะ…”

            “ชานยอล…” ผมรวบรวมความกล้าเรียกชื่อเขาออกไป

            “หืม? มีอะไรเหรอ” ปากบางสวยเม้มเข้าหากันจนเห็นลักยิ้ม ตาโตสดใสมองมาที่ผมด้วยความสงสัยของเขา
 

            ผมรวบแขนเขาให้เดินตามผมเข้ามาในห้องที่เขาเตรียมให้ เขาไม่ได้สะบัดมือผมออก แต่ยอมตามมาด้วยดี  
 

            “มีอะไรเหรอ”
 

            ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี ผมมองเข้าไปในดวงตาของเขา ทำไมเขามองผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เหมือนกับว่าผมไม่เคยทำอะไรไว้ เขาลืมผมไปหมดแล้วจริงๆเหรอ
 

            “นายเป็นยังไงบ้าง”

            “สบายดีนะ”
 

รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าหวานส่งมาให้ผม ทำไมผมเจ็บกว่าเดิมว่ะไม่เคยตั้งรับมาว่าจะเจอแบบนี้เลย เขาเป็นอะไร
 

            “กอดได้ไหม” ผมถามไปงั้นแหละ ผมรู้ว่าเขาไม่ยอมหรอก เขาจะยอมให้คนแบบผมกอดอีกครั้งงั้นเหรอ ผมก็แค่อยากกอดเขา

            “เอาสิ” เขาอ้าแขนรอผมเข้าไปกอด

            “…”
 

            ผมไม่กล้า ชานยอลไม่เหมือนคนเดิมที่ผมเคยทำร้ายเขาอีกแล้ว ไม่สิ ไม่ใช่ เขาเหมือนคนเดิมตอนที่เราเพิ่งรู้จักกันต่างหาก ในหัวใจเขาไม่มีผมแล้วจริงเหรอ ถ้าเขายังมีความโกรธอยู่บ้างมันคงดีกว่านี้นะ อย่างน้อยผมก็ยังเห็นตัวตนผมในนั้น
 

            “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม งั้นขอตัวก่อนนะ พักให้สบายล่ะ”

            เขาออกไปแล้ว…

           

           

 

 

 

 

///
 

ผมเดินออกจากห้องของอี๋ฟานด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เพียงแค่แว่บแรกที่ผมเห็นหน้าเขา ผมก็รู้ทันทีว่าเขายังเหมือนเดิม ทุกอย่าง รู้สึกดีจัง แต่ให้ทำไงได้ล่ะ เหมือนเขายังคิดว่าผมยังทรมานกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ ผมผ่านมันมาได้แล้วเขาน่าจะดีใจนะ แต่ผมยังไม่บอกเขาดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนผมจะตัดสินใจอีกครั้ง ผมขอดูคนที่ผมจะใช้ชีวิตร่วมในอนาคตอีกครั้งดีกว่า ถ้าเขายังมีแค่ความรักให้ผมอย่างเดียว เหมือนแต่ก่อน ผมเลือกจะอยู่คนเดียวต่อไปดีกว่า ขอพิสูจน์หน่อยเถอะนะ อู๋ อี๋ฟาน
 

“เดินยิ้มเชียวนะ”

“เควิน” ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม

“นำแขกเดินเล่นหน่อยสิ เจ้าของบ้าน”

“ด้วยความยินดีครับ”
 

เขาไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย เขาดูมีความสุขมากขึ้น อาจเพราะเขาได้ครอบครัวคืนมาแล้ว ผมเข้าใจเขานะ เพราะผมเองก็มีความสุขมากที่ได้อยู่กับครอบครัวเหมือนกัน เขาหันมายิ้มให้ผมอีกครั้ง ผมรั้งมือเขาให้หยุดเดิน แล้วยืนมองสวนหย่อมเล็กๆในบ้านผมด้วยกัน
 

“หายไปไหนมา”

“รักษาตัว”

“หายดีแล้วใช่ไหม ในทุกเรื่อง”

ผมพยักหน้า

“คิดถึงนะ คิดถึงเหมือนเดิม แค่สถานะเปลี่ยนไปแล้ว”
 

ไม่หรอกยังเหมือนเดิมทุกอย่างเลยเควิน สองแขนผมโอบคนตรงหน้าเขามากอดไว้แน่น กอดที่บอกว่ามิตรภาพเรายังเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีอะไรทำลายได้เลย เขากอดตอบผมแน่นเหมือนกัน ผมมีความสุขมากจริงๆที่ได้อยู่กับเขา คนที่เป็นบุคคลในอุดมคติของผมทุกอย่าง แต่หัวใจผมกลับไม่เลือกเขา

 ‘บางทีบุคคลต้องห้ามเมื่อแรกเห็นเขาอาจจะเป็นคนที่คุณเลือกด้วยหัวใจในวันต่อมา’

 

“จะเป็นยังไงต่อไปกับอี๋ฟาน ยังรักอยู่ใช่ไหม”

“อืม ยังรักอยู่”
 

มือใหญ่ๆยีมาที่หัวผมแรงๆ  แล้วคนตรงหน้าก็หัวเราะออกมา ผมยิ้มขำไปด้วย เราไม่จำเป็นต้องบอก พูดหรือคุยกันมากกว่านี้แล้ว เราสองคนมีพื้นฐานทุกอย่างเหมือนกัน เขาจึงสามารถเข้าใจกันได้โดยไม่มีช่องว่างเสมอ
 

“ต่อไปยอลเรียกพี่ว่าพี่นะ”

“ครับ พี่เควิน”
 

เขายกตัวผมขึ้นจากอ้อมกอดแล้วหมุนไปรอบๆ มือผมโอบไหล่เข้าไว้หลวม แล้วร่างกายผมก็ถูกวางลงพื้นเหมือนเดิม เรายังยืนคุยเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นมาแล้ว และยังไม่เกิดขึ้นต่อ เขาถามเรื่องการรับช่วงต่อของผม แล้วเรื่องที่อี๋ฟานเข้าใจผิดว่าผมจะแต่งงาน แน่นอนว่าเควินไม่มีวันเชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว เฮ้อ …เราสองคนถอนหายใจพร้อมกันเมื่อเอ่ยถึงมันจบ เขาบอกว่าเมื่ออี๋ฟานมีเรื่องผมในหัวสมอง ความรอบครอบจะหายไปหมด หมอนั่นจะวิตกกังวลแทน ผมรู้เรื่องนี้ดี ผมคอยช่วยเหลือเขามาตลอดที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เพราะเขาเป็นคนในร้อนและดื้อด้าน ขี้โมโหการรับฟังของเขาเลยน้อยลง จะเรียนรู้เขาต้องใจเย็นและอาศัยการพูดคุยด้วยร่างกายหรือการสัมผัสเพื่อบอกให้เขารู้ว่า มันไม่ใช่แบบนั้น การบอกออกมาตรงๆในบางเรื่องต้องเดาให้ออกก่อนว่าเขาคิดอะไร มันทำให้ผมต้องใส่ใจเขาเสมอ ช่วงที่ผมทำตัวเหมือนมีความลับจึงเกิดเรื่องขึ้นมา หมอนี่คิดไปเองเก่งจริงๆ

 

เราคุยกันจนเวลาล่วงเลย ถึงเวลาอาหารเย็น เราสองคนเดินเข้าบ้านเพื่อทานข้าวกับครอบครัวของผม อี๋ฟานออกมาจากห้องพอดี และเพื่อนของเขาด้วย ฮ่าๆๆ ผมขำในใจเขามองผมกับเควินไม่วางตาเลย หึงอีกล่ะสิ เฮ้อ …ผมกับเควินมองหน้ากันอีกครั้ง มันตลกจริงๆนะ
 

อาหารถูกจัดเต็มโต๊ะ พร้อมกับการทานข้าวของเราทุกคนอย่างพร้อมหน้า ผมนั่งข้างเควินและลู่หาน ส่วนอี๋ฟานนั่งถัดจากเควินไป แล้วเราก็เริ่มลงมือทานข้าวด้วยกัน
 

“ทานเยอะๆนะ ไม่ต้องเกรงใจลุง ฮ่าๆๆๆ” พ่อผมอารมณ์ดีจังเลยนะ

“ครับ คุณลุง” อี๋ฟานรับคำพ่อผม

“คุณลุงครับ ผมขอเรียกว่าคุณพ่อเลยได้ไหมครับ” เควินบอกพ่อผม
 

ผมขำกับการกระทำของเควินมาก จนแทบสำลักออกมาจนต้องเอามือปิดปากไว้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ สายตาผมหันไปมองเขา เรายิ้มให้กัน
 

“เอาสิ ได้เลย” พ่อผมบอกเขา ยิ้มร่าเริงออกมาทันที -_-;

“ขอบคุณครับ คุณพ่อ” เขารับคำคุณพ่อเสร็จ เหมือนกำลังจะตักอาหารมาให้ผม แต่อี๋ฟานคว้ามือเขาไว้ก่อน ผมหันไปมอง

“เขาแพ้อาหารทะเล” อี๋ฟานพูดออกมา และเควินก็วางช้อนเหมือนเดิม

“รู้ได้ไงลูกอี๋ฟาน ว่าชานยอลของเราแพ้อาหารทะเล” แม่ผมถามเขา

“เอ่อ …” เขาทำท่าเหมือนจะไม่กล้าตอบ ผมลุ้นมาก อย่านะ อย่าเพิ่ง “ผมเคยใช้ชีวิตร่วมกับชานยอลครับ” อ่า…ผมอ้าปากค้างในคำตอบนี้เลย รู้นะว่ามันหมายความว่ายังไง รับมันให้ไหวล่ะกัน -_-;
 

เคร้ง! …พ่อแม่ และพี่สาวของผม รวบช้อนพร้อมกัน ผมเองก็รวบเงียบๆตาม เอาแล้วสิ อู๋ อี๋ฟาน เอาอีกแล้ว
 

“ไปคุยกันในห้องรับรองเถอะ …อ่ะ แล้วก็ คนอื่นไม่ต้องตามมานะ” พ่อผมสั่งชัดเจน
 

               พวกเราที่เหลือบนโต๊ะอาหารมองหน้ากัน อี๋ฟานไม่ได้หันมามองหน้าผมก่อนเดินเข้าไป แผ่นหลังเขาดูเด็ดเดี่ยวในเรื่องที่เขากำลังจะทำ ผมชอบแผ่นหลังของเขาตอนนี้ แต่มันไม่ง่ายนี้สิ ความแมนของเขากำลังจะทำร้ายผมอีกครั้ง ถ้าเขาเลือกที่จะเงียบไว้คงดีกว่า มันเหมือนกับว่าการออกไปใช้ชีวิตข้างนอกของผมในสายตาครอบครัวตอนนี้ คือการมีแฟน -_-;  ถ้านี่เป็นทางเลือกจะให้เขาเอาผมกลับไปอีกครั้ง ผมก็ขอดูหน่อยแล้วกันว่าเขาจะรับผิดชอบยังไง ผมไม่ได้หนีเขาไปไหนอยู่แล้ว แต่จะเลือกเขาไหม ผมยังไม่ได้ตัดสินใจจริงๆ 

 

G Minor!

bottom of page