top of page

 

 กฎข้อที่ 3 สนามแม่เหล็กไฟฟ้า

 

            ชายชุดดำสวมแว่นใบหน้าเหี้ยมเกรียมนับสิบคนยืนในท่าพักเรียงแถวปิดระยะเป็นแนวทางเดินตลอดทางเดินของบุคคลที่จะมาถึง ทันทีที่รถ Lykan Hyper sport สีดำสนิทจอดสนิท ชายหัวแถวก้าวไปทำหน้าที่เปิดประตูรถ ทุกคนในท่าตรงทำความเคารพ บุคคลที่ลงมาจากรถ ชายผู้สวมโค้ดยาวสีดำสนิทผ้าขนสัตว์ราคาแพง รูปร่างสูงโปร่งกว่าชายทั้งหมดที่ยืนเรียงแถวรอรับเขาอยู่ แว่นดำสนิทปิดบังใบหน้าหล่อเหลาของเราไว้ไม่มิด ผมและคิ้วสีดำเข้ม เดินตรงเข้าที่พัก โดยไม่ได้สนใจชายผู้รอรับแม้แต่น้อย
 

            ‘ในที่สุดนายก็ออกจากอกแม่ผู้เป็นที่รักของนายซักที เกาหลีมีอะไรดีถึงทำให้นายมีความกล้าเหรอน้องพี่’
 

            ห้องสูทหรูดำสนิท ถูกจัดเตรียมไว้ให้เขา การมาเกาหลีครั้งนี้ของเขาสำคัญยิ่งกว่าทุกสิ่ง โอกาสเดียวในช่วงเวลาสั้นๆที่เขาต้องทำตามเป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ การขยายอิทธิพลทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง และเพื่อพบน้องชายเพียงคนเดียวของเขา
 

            “บอสครับ ทุกอย่างพร้อมแล้วครับ” คนสนิทที่เปรียบเหมือนมือขวาของผม บอกให้ผมรู้ตัวเมื่อถึงเวลาของการนัดหมาย เพื่อคุยธุรกิจสำคัญที่กำลังจะมาถึง

            “ไม่ต้องเอาคนไปเยอะ แค่นายกับชั้นก็พอ หลังจากที่เราคุยธุรกิจวันนี้เสร็จ หาที่พักให้คนของเราแยกออกไปห่างจากชั้นให้มากที่สุด เหลือแค่นายเท่านั้น ซื้อห้องข้างๆเหมือนเป็นบ้านของนายซักระยะ เราจะอยู่ที่นี่ อ่อ…อีกเรื่องเปลี่ยนรถให้ชั้นด้วย เอารถเกาหลีธรรมดาก็พอ”

            “ครับบอส”

            “ต่อไปนี้ เรียกแค่ชื่อเล่นชั้นก็พอ”

            “ครับ” เขาก้มหัวให้แล้วก้าวออกไป

           





 

            ///

            เบื่อโว้ย !!! …12 วันแล้วที่ผมอยู่ที่เกาหลี แต่นั่งๆนอนๆอยู่ห้อง ออกไปเที่ยวบ้างแต่มันก็ไม่สนุกเลย ผมอยากเรียนรู้โลกกว้างให้มากกว่านี้ ในแบบที่ผมไม่เคยเจอ การทำงานพาร์ทไทม์ตามหมอนั่นอาจจะช่วยผมได้ เขากลับบอกว่าผมยังไม่พร้อม เมื่อห้าวันก่อนผมกับเขาทะเลาะกันใหญ่โต เขาไม่พอใจจนเกือบย้ายออก เพราะผมซื้อเปียโนเข้ามาในห้อง -_-^; หมอนี่เป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ ทำท่ายังกับจะเอากีตาร์ฟาดหัวผม ก็แค่รสนิยมเราต่างกัน ผมเลยจงใจตั้งเปียโนฝั่งตรงข้ามกับเก้าอี้บุนวมสีแดงสดสถานที่สิงสถิตกีตาร์ของเขาสะเลย  หึหึ เมื่อผมเล่นเปียโน เขาจะอยู่ภายใต้มนต์สะกดของผม
 

            เขาบังคับให้ผมโชว์ซักเพลงก่อนที่จะเอาเปียโนไว้ในห้อง ไม่งั้นให้ผมขายมันไปสะ ผมจะโชว์ได้ยังไงในเมื่อผมโดดเรียนตลอดที่แม่จ้างครูมาสอน ตั้งแต่เด็กผมไม่ได้ชอบดนตรีพวกนี้เลย แต่สมองผมยังดีที่จำพื้นฐานมันได้คร่าวๆ ไม่นานผมก็จะเก่งเองถ้าผมลงมือฝึกมันอย่างจริงจังอีกครั้ง ผมก็ยื้อมันไว้จนได้ เขาตกลงที่จะไม่ขายมัน ^_^;
 

            ผมกำลังทำความสะอาดห้อง O_o; ไม่ต้องตกใจไปครับ ทำจริงๆ หมอนั่นห้ามผมจ้างแม่บ้าน ถ้าไม่ทำความสะอาดเองก็ให้อยู่แบบนี้ต่อไป เขาสอนแล้วว่าผมควรทำยังไง ผมก็แค่ทำมันไปเรื่อยๆก็สนุกดี แค่บรรยากาศมันเงียบเหงาเมื่อเขาไม่อยู่ หลายครั้งที่ผมมองไปเก้าอี้สีแดงกีตาร์ครอบครองพื้นที่มันอย่างสง่างาม ไม่ต่างจากเจ้าของของมันเลย หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ยินเขาเล่นมันอีก ผมนั่งชันเข่าอยู่ที่พื้นห้องมองดูมันใกล้ๆ ภาพวันนั้นลอยเข้ามาในสมองของผม เพลงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ตอนนี้ผมจำมันได้ดี เพราะผมซื้อเก็บไว้ในมือถือแล้ว -_-;
 

            ไอ้อาการของผมตอนนี้มันคืออะไร?

 

 

 




 

///

สามทุ่มแล้ว *-*; อีกสองชม.ก็เลิกงาน เวลานี้ผมทำงานพาร์ทไทม์อยู่ร้านกาแฟเล็กๆเขตธุรกิจ ลูกค้าเยอะตั้งแต่เปิดจนปิดร้าน เพื่อนพนักงานของผมหัวเราะกันอารมณ์ดี เมื่อได้พักซัก 10 นาที ตอนนี้จึงเป็นหน้าที่ผมดูแลร้านต่อก่อนที่จะถึงเวลาพักเบรกของผมเหมือนกัน
 

“รับอะไรดีครับ” ผมเงยหน้าขึ้นรับลูกค้าที่มาใหม่ เอ๊ะ…คุ้นๆ -__-;

“กาแฟดำ” O_o; หมอนี่

“นายมาทำอะไรที่นี่ นายไม่ดื่มกาแฟไม่ใช่เหรอ”

“…” เขามองผมเหมือนเราไม่รู้จักกัน

“ครับกาแฟดำซักครู่ครับ” เขาเดินไปนั่งที่มุมร้าน ผมมองตาม

 

“เดี๋ยวพวกพี่รับลูกค้าเอง ถึงเวลานายพักแล้ว”เพื่อนพนักงานของผมมาแล้ว ผมถอดผ้ากันเปื้อนออก แล้วเดินไปหาเขาทันที

 

“นายตามชั้นมาที่นี่ทำไม” โต๊ะเดียวกันผมนั่งท้าวคางขมวดคิ้วมองหน้าเขาอยู่ ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเขาแต่งตัวแปลกไปสีดำทั้งชุด ใบหน้าที่ดูคมเข้มกว่าเดิม แต่งหน้ามาด้วยเหรอ -_-;

“พนักงานปาร์ค ชานยอล” เหมือนเขาอ่านป้ายชื่อที่หน้าอกผม

“ก็เวลางาน นายอย่าบอกนะว่านายจะมาสมัครงานพาร์ทไทม์ที่นี่ เราตกลงกันแล้วนะ ว่ารอนายพร้อมก่อน ไม่อย่างนั้นนายก็จะถูกไล่ออกอยู่ดี”

“พร้อมแล้ว” เสียงเขาเข้มขึ้น พูดนิ่งๆออกมา

“กลับไปทำงานก่อนนะ กลับไปห้องแล้วค่อยคุยกัน” ผมลุกขึ้นจากโต๊ะ ขี้เกียจคุยแล้ว

หมั่บ! แขนผมถูกจับไว้แน่นมาก “ไปด้วยกันก่อน”

 

 

เขาลากแขนผมออกมานอกร้าน ทั้งที่ผมบอกไปแล้วว่าเป็นเวลางานของผม เขาไม่ตอบอะไรผมกลับมาซักคำ แปลกไปจริงๆ ตอนนี้ผมยืนอยู่กับเขาในซอยเล็กๆถัดออกมาจากร้านกาแฟ เขายื่นหน้ามามองผมใกล้ๆ ผมไม่ได้หลบไปไหน เขาข่มขู่ผมด้วยวิธีนี้บ่อย จะให้ทำอะไรให้อีกล่ะคราวนี้ -_-;
 

“อยู่นิ่งๆสองนาทีอย่าขยับตัวนะ”
            ผมพยักหน้า

 

เขารวบข้อมือผมขึ้นทั้งสองข้างทาบกับมือเขาชูขึ้นสูงแล้วค่อยๆย่อมันลงมาค้างไว้ระหว่างใบหน้าเราสองคน  เหมือนรูม่านตาผมขยายออกหรืออะไรก็ชั่ง ใบหน้าเขาห่างจากผมแค่ปลายจมูกเราเย้ยกันอยู่ไม่ถึงครึ่งเซนติเมตร แม้แต่น้ำลายผมก็ไม่กล้ากลืนลงคอตอนนี้ หน้าผมร้อนผ่าว ภาพตรงหน้าอยู่ๆมันก็เบลอไปหมด ปากผมเหมือนมีอะไรนิ่มๆมาบดขยี้ซ้ำไปซ้ำมาจนผมต้องหลับตาลง แรงกดดันทำให้ผมต้องอ้าปากออกเล็กๆไม่ทันที่ผมจะฮุบอากาศเข้าปากสิ่งอื่นถูกสอดเข้ามาทดแทน ลิ้นของเขาล่วงล้ำเข้ามาทำความรู้จักกับลิ้นผม กอดเกี่ยวกันอย่างรุนแรงเหมือนเพื่อนสนิทที่พลัดพรากกันไปไกลแสนไกล ร่างกายผมถูกโอบรัดด้วยสองแขนยกตัวสูงขึ้นจนต้องเขย่งปลายเท้า มือเขาที่ประครองหัวผมไว้ให้โยกใบหน้ารับ ผมวางมือเกาะไหล่เขาได้ถนัด ตัวผมที่ยืดขึ้นสูงกว่าเขา ลิ้นเราเกี่ยวพันกันได้ดีขึ้นสอดไล่กันอย่างหนักหน่วงล่อน้ำใสๆจากข้างในออกมามุมปาก เนิ่นนานจนผมลืมเวลา ปากเราทั้งคู่ค่อยๆผละออกจากกันช้าๆ
 

สองแขนผมดันเขาออกจากอ้อมกอด แต่เขาไม่ยอมปล่อย สายตานั้นยังคงมองผมอยู่ เป็นผมเองที่ต้องเบนสายตาหนีไป แต่สมองของผมไม่ได้หยุดความคิดของตัวเอง ทุกอย่างมันแปลกไป เขาดูเหมือนไม่ใช่คนที่ผมรู้จักมา 2 สัปดาห์ หมอนั่นรักษาระยะห่างจากคนอื่นมากกว่านี้ ไม่ใช่แน่ๆ ผมหันกลับไปสบตาเพื่อความแน่ใจในสิ่งที่ผมคิด ทุกอย่างเริ่มชัดเจน บุคคลนี้มีสายตาที่มั่นคงกว่า ถึงจะเหมือนกัน แต่ใบหน้าของเขาทำให้ผมใจเต้นแรงได้มากกว่า

 

“คุณไม่ใช่คนที่ผมรู้จัก”

“รู้ตัวแล้วสินะ” เขายิ้มมุมปากออกมา

“คุณเกี่ยวข้องอะไรกับเพื่อนของผม”

“ไม่มี ผมแค่อยากบอกคุณ ว่าผมไม่ใช่เขา ไม่ใช่แฟนคุณ”

“เขาไม่ใช่แฟนผม เราเป็นแค่เพื่อนกันครับ ผมขอตัวก่อน”
 

ครั้งนี้ผมดันตัวเขาออกง่ายขึ้น แล้วเดินกลับมา เขาไม่ได้ตามผมมาแล้ว แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ชั่งเถอะผมไม่อยากหันกลับไปมอง แค่จูบกับใครก็ไม่รู้วันนี้ผมก็ซวยเกินพอล่ะ ‘แต่ทำไมเหมือนกันจังเลยล่ะ เป็นไปได้เหรอว่าเขาไม่เกี่ยวข้องกัน’

 

 

 

 

///

หน้าร้านกาแฟเล็กๆ ผมจอดรถไว้แล้วเดินเข้ามาในร้าน บรรยากาศอบอุ่นคุมโทนสีเบจตัดกับสีดำลงตัวดูน่าสนใจ พนักงานกล่าวทักทายผมอย่างสุภาพ ถามเมนูที่ผมต้องการ

แต่หลังจากที่ผมสั่ง ผู้ชายหน้าหวานรูปร่างผอมบาง สมส่วนด้วยความสูงที่ต่างกับผมไม่มาก ทักผมเหมือนคนคุ้นเคย ผมไม่แน่ใจว่าเขาถูกคน หรือจำผมเป็นใครอีกคน จนเขาเดินมานั่งกับผมที่โต๊ะ ผมไม่จำเป็นต้องถามในสิ่งที่ผมอยากรู้ เขาบอกเองทั้งหมดจากความคุ้นเคยที่คิดว่าผมเป็นคนที่เขารู้จัก และผมก็รู้จักเขาคนนั้น อีกคนเดียวในโลกเท่านั้นที่หน้าเหมือนผม และเขาอยู่ที่เกาหลี เร็วกว่าที่คิด ผมไม่จำเป็นต้องตามหาเขาให้เสียเวลา คนตรงหน้าผมจะนำผมไปหาเขาเอง ผมเลือกที่จะไม่สวมรอย แต่จะอธิบายยังไงให้เขารู้ว่าผมไม่ใช่ล่ะ สองคนนี้พักอาศัยอยู่ด้วยกัน คงไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดา เพราะน้องผมมันไม่มี... ผมต้องใช้ความคุ้นเคยบอกเขาสินะ
 

แล้วผมก็ลากเขาออกมาจูบ …ตอนแรกผมก็แค่ตั้งใจจะจูบให้รู้ว่าผมไม่ใช่ แค่อารมณ์พาไปให้มันยาวนานขึ้น -_-;
 

และเขาก็รู้จริงๆ หึ ไม่เลวนิ อย่างน้อยก็จำแฟนตัวเองได้ ความสัมพันธ์คงเลยไปไกลแล้ว น้องผมเลือกได้ดี นี่คงเป็นเหตุผลที่เขาลงทุนมาเกาหลี เพราะ ปาร์ค ชานยอล แน่นอน

 


 

ผมเดินกลับมาที่รถ …เหมือนกับว่าริมฝีปากผมมีกลีบดอกไม้นิ่มๆติดอยู่พร้อมกลิ่นหอมจางๆ นิ้วผมลูบมันซ้ำไปซ้ำมา พร้อมรอยยิ้มมุมปาก






 

 

 

 

 

bottom of page